'ศรีสวัสดิ์' ไตรมาส 2 กำไร 665 ล้าน

'ศรีสวัสดิ์' ไตรมาส 2 กำไร 665 ล้าน

เผยงบไตรมาส 2/2561 รายได้โต 11% แต่กำไรลด 3% เหลือ 665 ล้านบาท เหตุตั้งสำรองเพิ่ม ด้านหนี้เสียลดเหลือ 4.7%

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า งบการเงินรวมของบริษัทในไตรมาส 2/2561 ผลการดำเนินงานยังเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ย 1,384.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.03% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้ดอกเบี้ย 1,246.88 ล้านบาท

ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,873.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ราวม 1,818.11 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อในไตรมาส 2/2561

โดยงบการเงินรวมงวดไตรมาส 2/2561 มีกำไรสุทธิ 665 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 687.30 ล้านบาท สาเหตุมาจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มความรอบคอบในการทำธุรกิจ และ สอดคล้องการการเติบโตของลูกหนี้ของกลุ่มบริษัท
สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2561 มีรายได้จากดอกเบี้ย 2,628.11 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.68 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้ดอกเบี้ย 2,440.55 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 3,618.02 ล้านบาทลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,689.61 ล้านบาท เนื่องจากงวดเดียวกันของปี 2560 มีการบันทึกรายการพิเศษจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการได้มาบริษัทเงินทุนศรีสวัสดิ์ หรือ BFIT ซึ่งเป็นผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกปี 2561 ลดลงประมาณ 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560

นางสาวธิดา กล่าวต่อว่า ผลการดำเนินในไตรมาส 2/2561 สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทยังมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะตัวเลขลูกหนี้สุทธิที่เพิ่มขึ้นกว่า 24% จากสิ้นสุด 6 เดือนแรกของปี 2560 ที่มีลูกหนี้สุทธิ 19,766.55ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 24,510.98ล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบจากไตรมาส 1/2561 ลูกหนี้สุทธิจะเติบโต 5 %

"ไตรมาส2/2561 ลูกหนี้สุทธิจะเติบโตค่อนข้างมากเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตามกรณีNPL ที่มีปัญหาในไตรมาส 1/2561 ได้มาปิดบัญชีไปทำให้ลูกหนี้สุทธิในไตรมาสสองเติบโตเพียง 5% แต่หากไม่นับรวมการปิดบัญชีของลูกหนี้จำนวนดังกล่าว พอร์ตลูกหนี้สุทธิเมื่อเทียบรายไตรมาสจะเติบโตถึง8%" นางสาวธิดา กล่าว

สำหรับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2561 ได้ปรับลดลงมาเหลือที่ 4.7% จากสิ้นสุดไตรมาส 1/2561 ที่มีเอ็นพีแอลประมาณ 8% หลังจากที่ลูกหนี้เอสเอ็มอีรายหนึ่งมาปิดบัญชี ซึ่งทำให้ภาพรวมเอ็นพีแอลของบริษัทกลับเข้าสู่ภาวะปกติ