WHA Group ครึ่งปีแรกกำไร 1,083 ล้านบ. เติบโตขึ้น 3%

WHA Group ครึ่งปีแรกกำไร 1,083 ล้านบ. เติบโตขึ้น 3%

บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 รักษาผล การดำเนินงานปกติแข็งแกร่ง มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้าอยู่ที่   5,470  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,083 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3%

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้นำธุรกิจแบบครบวงจร ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้าจากการดำเนินงาน 5,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 4,773 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1,083 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,128 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 816 ล้านบาท  โดยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชี และไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทฯ

สำหรับสาเหตุการเติบโตของผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกปีนี้ จากจากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาทในช่วงต้นปี รวมทั้งรวมทั้งปริมาณการขายและให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำ ของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการโรงไฟฟ้า SPP ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2560 เป็นต้นมา จำนวน 5 โรง ส่งผลบริษัทรับรู้รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯอยู่ที่ 510.5 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่รวมการให้บริการ Solar Rooftop ที่อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้า จำนวน 7-8 ราย คิดเป็นประมาณ 5-6 เมกกะวัตต์ ทำให้สิ้นปีการให้บริการ Solar Rooftop ทั้งหมดคาดจะอยู่ประมาณ 10 เมกกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชีและไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทฯ รวมทั้งมีจำนวนที่ดินที่โอนน้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 2,023 ล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิลดลง 669 ล้านบาท คิดเป็น 69% แต่หากพิจารณาจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลง 379 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 42%

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ภาพรวมธุรกิจมีการปรับตัวคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์ เนื่องจากพื้นที่การให้บริการของบริษัทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการมุ่งมั่นส่งเสริมพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์  อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลบวกให้มีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งในพื้นที่ของ WHA Group ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจซื้อพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท จำนวน 4-5 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ในครึ่งปีหลัง 2561 นี้ทั้งหมด จึงมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แต่ต้นปี

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit อีก 2 ราย ซึ่งคิดเป็นพื้นที่กว่า 170,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ยอดการการเช่าพื้นที่คลังสินค้า และเพิ่มขึ้นจากอย่างต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่มียอดการเช่าคลังสินค้า และโรงงานแบบ Built-to-Suit และReady-built ประมาณ60,000 ตารางเมตร 

 นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทฯเตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT)  คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายและสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้