ไฟเขียว 'พีพีพี ฟาสต์ แทร็ค' 2 โครงการปีนี้

ไฟเขียว 'พีพีพี ฟาสต์ แทร็ค' 2 โครงการปีนี้

คณะกรรมการ "พีพีพี" ไฟเขียว 2 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท กระจายการลงทุนสู่ภาคเหนือ - อีสาน ดัน PPP Fast Track เสนอโครงการภายในปี 2561 หนุนเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61 นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 ณ กระทรวงการคลัง โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้

1. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบในหลักการการให้เอกชนร่วมลงทุนของโครงการพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า ของกรมการขนส่งทางบก จำนวน 2 โครงการ ได้แก่

1.1 โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม มูลค่าเงินลงทุน 1,361 ล้านบาท โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ค่าควบคุมงานก่อสร้าง ส่วนภาคเอกชนลงทุนในค่าก่อสร้างอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้และค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึง O&M ระยะเวลาดำเนินโครงการ 30 ปี

1.2 โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 2,829 ล้านบาท โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สำนักงานและส่วนประกอบ และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ รวมถึง O&M ทั้งหมด ระยะเวลาดำเนินโครงการ 15 ปี โดยให้เสนอ 2 โครงการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการต่อไป

2. คณะกรรมการ PPP เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track จำนวน 8 โครงการ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยคาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – วงแหวนกาญจนาภิเษก และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตกและตะวันออก จะสามารถนำเสนอคณะกรรมการ PPP ได้ภายในปี 2561 ประมาณเงินลงทุนรวม 366,274 ล้านบาท รวมถึงยังได้เร่งรัดโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ตให้สามารถเสนอกระทรวงเจ้าสังกัดจากปี 2562 เป็นภายในปี 2561

3. คณะกรรมการ PPP รับทราบสถานะของโครงการร่วมลงทุนและเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการร่วมลงทุนที่มีระยะเวลาของสัญญาเหลือน้อยกว่า 5 ปี ดำเนินการจัดทำแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดให้แล้วเสร็จโดยเร็วตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 โดยคำนึงถึงภาระทางด้านการเงิน ทรัพย์สิน และเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการให้บริการที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชนผู้ใช้บริการ