SCC - ซื้อ

SCC - ซื้อ

คาดกำไรกลับมาเป็นขาขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/61

เราเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 2/61 เป็นจุดต่ำสุดและจะเป็นจุดเปลี่ยนส่าหรับทิศทางของราคาหุ้น SCC เราคาดก่าไรจะกลับมาเติบโตในไตรมาส 3/61 หนุนโดยธุรกิจซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งเรามองว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผล ณ ปัจจุบันที่ 4.3% น่าสนใจมาก คงค่าแนะน่า “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ 580 บาท

สรุปงบไตรมาส 2/61

SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 1.24 หมื่นล้านบาท ลดลง 6% YoY และทรงตัว QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด โดยกำไรที่ลดลง YoY ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการชะลอตัวของกำไรธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งลดลง 10% YoY มาอยู่ที่ 8.1 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ใน
ขณะเดียวกันกำไรของธุรกิจซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์เติบโต 6% YoY และ 59% YoY ตามลำดับ โดยผลประกอบการธุรกิจซีเมนต์ที่ขยายตัวมาจากปริมาณและราคาขายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่กำไรธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนต่างราคากระดาษที่กว้างขึ้น และการลดต้นทุน

คาดธุรกิจเคมีแข็งแกร่งขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่ยังมีความเสี่ยงจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน

เราเชื่อว่ากำไรธุรกิจเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 2/61 และกำไรจะเติบโต HoH ในครึ่งหลังของปี 2561 หนุนโดยช่วงไฮซีซั่นของอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์ในปลายไตรมาส 3/61 ถึงต้นไตรมาส 4/61 ส่วนต่างราคา PTA กว้างขึ้น ราคาแนฟทาต่ำลง และเงินบาทอ่อนค่า ทั้งนี้ SCC เชื่อว่าส่วนต่างราคาโอเลฟินส์จะยืนสูงได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2563 หรือ 2564 หนุนโดยอุปสงค์-อุปทานที่เติบโตอย่างสมดุล อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่ต้องจับตาในช่วง 3-6 เดือนจากนี้ คือผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งอาจส่งผลให้โครงสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลกเปลี่ยนแปลงไป

ในระยะยาว SCC จะเพิ่มกำลังการผลิตโดย 1) เพิ่มกำลังการผลิตที่ MOC ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 3.5 แสนตัน (คิดเป็น 11% ของกำลังการผลิต ณ ปัจจุบันของบริษัท) และ 2) สร้างโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้กาลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านตันในปี 2566

ธุรกิจซีเมนต์มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง

ความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 2% YoY ในไตรมาส 2/61 หนุนโดยโครงการของภาครัฐฯซึ่งขยายตัว 8% YoY ขณะที่ความต้องการจากภาคเอกชนซึ่งคิดเป็น 65% ของความต้องการรวม ยังคงลดลง 1% YoY ทั้งนี้เราคาดความต้องการในประเทศจะเพิ่มขึ้นราว 2-3% ในครึ่งหลังของปี 2561 แม้การใช้ซีเมนต์สาหรับโครงการภาครัฐฯขนาดเล็กภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนจะสิ้นสุดในเดือนส.ค.ก็ตาม โดยเราคาดความต้องการใช้ซีเมนต์สาหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่อยู่

ระหว่างก่อสร้างจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การก่อสร้างโครงการอสังหาฯที่เพิ่งเปิดตัวรวมถึงโครงการอาคารสานักงานและค้าปลีกต่างๆจะหนุนให้การใช้ซีเมนต์ในภาคเอกชนกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง โดยความต้องการที่ขยายตัวขึ้นนี้ไม่เพียงแต่จะหนุนให้ราคาซีเมนต์สูงขึ้นต่อเนื่อง (เพิ่มขึ้น 3% YoY ในไตรมาส 2/61) แต่ยังจะทำให้เกิดการประหยัดขนาดในโรงงานด้วยความต้องการวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านน่าจะยังอ่อนแอในครึ่งหลังของปี 2561 แต่เราคาด

ความต้องการจะกลับมาเติบโตในช่วงปลายไตรมาส 4/61 ถึงต้นปี 1/62 เนื่องจากการบริโภคฟื้นตัว และความต้องการอุปกรณ์ตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งมักจะช้ากว่าการฟื้นตัวของความต้องการซีเมนต์ราว 6 เดือน