ตราไก่เฮ!"ฝรั่งเศส"ถล่ม"โครเอเชีย"4-2หยิบแชมป์โลกสมัย2

ตราไก่เฮ!"ฝรั่งเศส"ถล่ม"โครเอเชีย"4-2หยิบแชมป์โลกสมัย2

ฝรั่งเศส ไล่ถล่ม โครเอเชีย ไปแบบขาดลอย 4-2 ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์มาครองได้สำเร็จ

     การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย วันนี้ (15 ก.ค.) ที่สนามลุซนิกิ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ฝรั่งเศส แชมป์โลก 1 สมัย พบกับ โครเอเชีย ที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก

    โดยก่อนหน้านี้  "ตราไก่" และ "ตาหมากรุก" เคยเจอกันมาแล้วทั้งหมด  5 ครั้ง ในทุกรายการ ผลปรากฏว่าเป็น ฝรั่งเศส ที่ทำได้ดีกว่า โดยเอาชนะได้ 3 ครั้ง และเสมอ 2 ครั้ง 

    ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศได้มีพิธีปิดฟุตบอลโลก ซึ่งไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การแสดงของ วิล สมิธ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อก้องที่ร่วมร้องเพลง “ลีฟ อิท อัพ” เพลงประจำการแข่งขันกับ นิกกี แจม และ เอรา อิสเตรฟี 2 ศิลปินระดับโลก

    ส่วนการจัดทัพเริ่มที่ ฝรั่งเศส ของเทรนเนอร์ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ที่วันนี้ใส่ชุดเหย้าเสื้อ-กางเกง สีน้ำเงินเข้ม มาในระบบ 4-2-3-1 เหมือนในเกมพบกับ เบลเยียม ในรอบตัดเชือก นำโดย อูโก ยอริส, ราฟาเอล วาราน, เอ็นโกโล ก็องเต, ปอล ป็อกบา,  คิเลียน เอ็มบัปเป, อองตวน กรีซมันน์ และโอลิวิเยต์ ชิรูด์ 

    ขณะที่ โครเอเชีย ของเฮดโค้ชซลัตโก ดาลิช ก็มาในชุดเหย้าเสื้อสีขาวลายตาหมากรุก-กางเกงขาว ก็มาในระบบ 4-2-3-1 เหมือนในเกมพบกับ อังกฤษ ในรอบรองชนะเลิศ ในระบบ 4-2-3-1 ทั้ง ดานิเยล ซูบาซิช, เดยัน ลอฟเรน, ลูกา โมดริซ, มาริโอ โบรโซวิช, อิวาน ราคิติช, อันเต เรบิช, อิวาน เปริซิช และมาริโอ มานด์ซูคิช

เริ่มเกมมาได้เพียง 18 นาที ฝรั่งเศส ได้ประตูออกนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่ได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษระยะประมาณ 30 หลาแล้วเป็น อองตวน กรีซมันน์ โยนเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้ว มาริโอ มานด์ซูคิช โหม่งสกัดผิดเหลี่ยมบอลเข้าประตูตัวเองไปแบบโชคร้าย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นฝ่ายครองบอลบุกได้ตลอด

     แต่หลังจากนั้นเพียง 10 นาที โครเอเชีย ที่ตั้งแต่รอบ 16 ทีมเป็นต้นมาตามหลังคู่แข่งก่อนตลอดกลับมาตามตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่ได้ลูกฟรีคิกระยะ 40 หลาแล้ว อิวาน ราคิติช เปิดโด่งเข้าไปในกรอบเขตโทษให้กับ ซิเม เวอร์ซัจโก ซึ่งเจ้าตัวก็โหม่งชงมาให้กับ โดมากอย วิดา แตะคืนให้ อิวาน เปริซิช บริเวณหัวกะโหลก ซึ่งเจ้าตัวก็ดึงจังหวะก่อนซัดด้วยซ้ายบอลแฉลบ ราฟาเอล วาราน เปลี่ยนทางเข้าประตูไป 

      ถึงกระนั้นในนาทีที่ 38 ฝรั่งเศส มาได้ลูกจุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอลของ อิวาน เปริซิช ซึ่งผู้ตัดสิน เนสเตอร์ ปิตานา ขอดูวีเออาร์ และเป่าเป็นการฟาล์ว ก่อน อองตวน กรีซมันน์ จะสังหารไม่เหลือให้ "ตราไก่" ออกนำเป็น 2-1 พร้อมเป็นประตูที่ 4 ของเจ้าตัวในทัวร์นาเมนต์ และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

      เข้าสู่ครึ่งหลังได้เพียง 2 นาที โครเอเชีย เกือบได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ อิวาน ราคิติช ไหลบอลเข้ากรอบเขตโทษของ ฝรั่งเศส ให้กับ อันเต เรบิช ได้กดด้วยซ้ายแต่ อูโก ยอริส ปัดออกหลังไปได้แบบฉิวเฉียด

     จากนั้น โครเอเชีย พยายามเปิดเกมบุกอย่างหนักเพื่อทวงประตูตีเสมอ แต่ ฝรั่งเศส ใช้จังหวะสวนกลับเล่นงานเป็นระยะ และในนาทีที่ 59 "ตราไก่" ได้ประตูทิ้งห่างเป็น 3-1 จากจังหวะที่ คิเลียน เอ็มบัปเป ลากเข้ามาในกรอบเขตโทษก่อนตบเข้ากลางให้ ปอล ป็อกบา วิ่งมายิงจังหวะแรกติดบล็อก แต่บอลมาเข้าทางเขาอีกครั้งก่อนยิงด้วยซ้ายอีกทีเข้าไปอย่างสวยงาม 

     จากนั้นอีกเพียง 6 นาทีต่อมา ฝรั่งเศส มาหนีห่างเป็น 4-1 จากจังหวะที่ ลูคัส เอร์นันเดซ เติมเกมมาทางด้านซ้าย ก่อนไหลเข้ากลางให้ คิเลียน เอ็มบัปเป กดจากระยะ 25 หลานอกรอบเขตโทษเสียบเสาเข้าไปชนิด ซูบาซิช หมดสิทธิ์เซฟ

     แต่แล้วในนาทีที่ 69 โครเอเชีย ได้ประตูไล่มา 2-4 จากจังหวะที่ มาริโอ มานด์ซูคิช วิ่งไล่ลูกคืนโกล์ของ ฝรั่งเศส ซึ่งโยริส พยายามจะแตะอ้อมแต่ไม่พ้นบอลไปโดนขาของ มานด์ซูคิย เข้าประตูไป พร้อมปลุกความหวังของ "ตาหมากรุก" อีกครั้ง

     ทว่าจากนั้นไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันเพิ่มได้ ทำให้จบเกม ฝรั่งเศส เอาชนะ โครเอเชีย ไปได้ 4-2 คว้าแชมป์โลกไปครองเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 1998 นอกจากนั้น เดส์ชองส์ ยังกลายเป็นคนที่ 3 ซึ่งสามารถคว้าแชมป์โลกได้ทั้งในฐานะนักเตะ และกุนซือ ต่อจาก มาริโอ ซากาโล และ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ อีกด้วย

     ขณะที่ โครเอเชีย ทำดีที่สุดเพียงแค่ได้รองแชมป์ แต่ถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาในการลงเล่นฟุตบอลโลก