บาทเปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าที่ 33.14 บาทต่อดอลลาร์

บาทเปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าที่ 33.14 บาทต่อดอลลาร์

คาดตลาดการเงินกลับทิศเป็นบวก หลังรับข่าวปัญกาสงครามการค้าสหรัฐและจีนไปก่อนหน้านี้แล้ว

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 33.14 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจาก 33.17 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปิดตลาดสัปดาห์ก่อน ในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าทั่วทั้งตลาดจับตาไปที่การโต้ตอบของจีนในสงครามการค้า พร้อมกับสหรัฐที่อาจมีการเพิ่มการกีดกันการค้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่า ตลาดการเงินรับรู้ปัญหานี้ไปแล้วส่วนใหญ่ จึงมีโอกาสไม่มากที่ความผันผวนจะปรับตัวขึ้นต่อ นอกจากนี้สัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งในสหรัฐและทั่วโลก ตลาดการเงินจึงน่าจะกลับมามีทิศทางเป็นบวก เนื่องจากรายได้ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งมากในปีนี้

ในส่วนของเงินบาท สิ่งที่ต้องติดตามคือความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินหยวน เชื่อว่าในช่วงสั้นโอกาสที่เงินหยวนจะอ่อนต่อมีไม่มาก และโอกาสที่ค่าเงิน ดอลลาร์จะพักฐานก็มีสูง ถ้าตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk on) ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เงินบาทจะแข็งค่ากลับลงไปได้ กรอบเงินบาทวันนี้ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ และกรอบเงินบาทรายสัปดาห์ 32.80-33.30 บาทต่อดอลลาร์


ขณะที่สิ่งที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้คือ สงครามการค้า ตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐ และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในยุโรป

วันพุธ คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) จะเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมาไปอยู่ที่ระดับ 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ราคาน้ำมันและสินค้าภาคการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นยังคงเป็นปัจจัยหลักขณะที่สินค้าอื่นๆปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย

วันพุธ ธนาคารกลางแคนาดาจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไปที่ระดับ 1.50% เนื่องจากรายได้ในประเทศยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และธนาคารกลางพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกดดันอนาคตของเศรษฐกิจ

วันพฤหัส ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยุโรป (Eurozone Industrial Production) จะหดตัวลง 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนตามภาพรวมการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรป ปัญหาการเมืองและสงครามการค้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนชะลอการทำธุรกรรม

ศุกร์ราคาสินค้านำเข้าในฝั่งสหรัฐ (Import Prices) คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น 0.6% ในเดือนก่อน คิดเป็น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในครั้งนี้ยังไม่มีเรื่องภาษีใหม่ของทรัมป์เข้ามาเพิ่มความกดดัน