สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ อนาคตใหม่ เครื่องยนต์ มาสด้า
ผู้บริหารมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน มักจะพูดอยู่เสมอว่า มาสด้าไม่ใช่บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ เป็นบริษัทเล็กๆ แต่บริษัทเล็กๆ นี่แหละที่ทำเรื่องใหญ่ๆ ในโลกยานยนต์อยู่บ่อยครั้ง
สิ่งยิ่งใหญ่ที่มาสด้าพูดถึง ก็เช่น เทคโนโลยี เครื่องยนต์โรตารีอันโด่งดัง มาจนถึง เรื่องของสกายแอคทีฟ ในปัจจุบัน ทั้งส่วนของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เกียร์ หรือว่าตัวถัง
มาสด้ากำลังจะเสร็จสิ้นการพัฒนาไปอีกขั้นกับสิ่งที่เรียกว่าสกายแอคทีฟ เอ็กซ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวิสัยทัศน์ 2030 หรือปี 2573 ที่สอดคล้องกับทิศทางยานยนต์จากวันนี้ไป คือการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
มาสด้าบอกว่า การเป็นมิตรที่ดี และยั่งยืนกับสิ่งแวดล้อม จะต้องทำให้ได้ทั้งระบบ ไม่เฉพาะที่ตัวรถเท่านั้น เป้าหมายของมาสด้าเรียกว่า "เวล ทู วีล" หรือ ไล่มาตั้งแต่บ่อน้ำมันจนถึงการขับเคลื่อนล้อรถยนต์ให้ขับเคลื่อนนั่นเอง
แน่นอนว่ามาสด้าก็คล้ายกับอีกหลายๆ บริษัทส่วนใหญ่ทั่วโลกที่พูดถึงเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาช่วยในการประประหยัดการใช้เชื้่อเพลิง ลดปริมาณการปล่อยไอเสีย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี พลังงานไฟฟ้า (EV) หรือว่า เทคโนโลยีไฮบริด โดยบอกว่าบริษัทจะต้องเดินหน้าพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้เช่นกันในอนาคต
แต่ควบคู่กันไป ก็คือ จะไม่ทิ้งแนวทางเดิม คือ เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งสามารถทำอะไรได้อีกมาก เพื่อลดทั้งการสิ้นเปลือง และไอเสีย ซึ่งเป็นที่มาของ สกาย แอคทีฟ เอ็กซ์ ที่มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้
เมื่อพัฒนาเสร็จ สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ขนาดความจุกระบอกสูบ 2.0 ลิตร จะให้ประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ จี ที่กวาดรางวัลมามากมายทั่วโลก โดยบอกว่าให้แรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% และเพิ่มขึ้น 30% ที่บางความเร็วรอบ (กำลังพัฒนา) และจะประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับสกายแอคทีฟ จี และ 30% หากเทียบกับเครื่องยนต์ เอ็มแซดอาร์ ก่อนหน้านี้
แม้จะยังพัฒนาไม่เสร็จ 100% แต่มาสด้าก็พร้อมที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาให้ลองกันเบื้องต้น โดยใส่ไว้ในตัวถังของ มาสด้า 3 โฉมปัจจุบัน
แต่ว่ามันไม่ใช่ปัจจุบันทั้งหมด มองโดยรวมอาจจะเหมือนเดิม แต่ตัวถังที่ครอบ สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ อยู่นี้ มันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะโครงสร้างส่วนห้องโดยสารตั้งแต่เสาเอ ครอบคลุม เสาบี และเสา ซี ที่เพิ่มชิ้นส่วนให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
และที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ เมื่อก้มไปดูใต้ท้องรถด้านหลังจะเห็นว่าช่วงล่างด้านหลังเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่มัลติลิงค์ แต่มันเป็น ทอร์ชั่น บีม หรือคานแข็งนั่นเอง
ฟังไม่ผิดครับ เป็นคานแข็ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่ว่าในบ้านเรา การรับรู้ส่วนใหญ่มองว่าเป็นระบบที่ด้อยกว่า และที่ผ่านมาส่วนใหญ่ใช้ในรถตลาดล่างๆ แต่มาสด้าบอกว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น คานแข็งเป็นระบบที่ดี เพียงแต่ต้องปรับปรุงในบางส่วน เช่น รูปทรงของคาน ขนาด รายละเอียดจุดยึด เชื่อมต่อต่างๆ ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ซึ่งมีหลายอย่างจะค่อยๆ ทยอยเล่าให้ฟังครับ
รถที่ใช้ขับขี่เป็นรุ่นพวงมาลัยซ้าย เพราะมันถูกนำไปทดสอบในประเทศทางอเมริกา และยุโรปก่อนหน้านี้ และมีทั้งเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติ โดยขับเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร สกายแอคทีฟ จี
ขับไม่มากครับ พอหอมปากหอมคอ เป็นการขับในสนาม รวมๆ แล้วสัก 5 กม. ซึ่งทำให้ต้องใช้ความพยายามในการจับความรู้สึกพอควร แต่รู้สึกได้ว่าอัตราเร่งในบางช่วง โดยเฉพาะช่วงกลางๆ ดีกว่า แต่ที่ความเร็วสูงยังจับไม่ได้นัก เพราะทำความเร็วได้ไม่สูงนักในสนาม และอีกจุดหนึ่งคือช่วงไต่เนิน ผมลองใช้เกียร์เดียวกัน โดยเฉพาะเกียร์ธรรมดาที่คุมเกียร์เดียวได้ง่ายกว่า ใช้ เกียร์ 4 ไต่เนินขึ้นไป เป็นอีกจุดที่จับได้ว่าการตอบสนองของแรงบิดกว่า
การสะดุดของเครื่องยนต์ไม่มีให้รู้สึก แต่บางช่วงมีเสียงที่ไม่แน่ใจว่าเสียงอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งทีมงานมาสด้ายอมรับว่าเป็นไปได้ สำหรับรถที่ยังเป็นโปรโตไทป์ ซึ่งยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง
ส่วนช่วงล่างแบบใหม่รู้สึกว่าแน่นขึ้นการขับขี่ไม่มีปัญหา ทั้งการเข้าโค้ง หรือว่าช่วงที่ตั้งโคนให้เลนเชนจ์ ผ่านไปได้สบายๆ ไม่ยาก แต่ก็รู้สึกว่ากระด้างขึ้นจากตัวเดิม แต่ว่าจะมีผลต่อความสะดวกสบายในเส้นทางที่ไม่เรียบแบบในสนามหรือไม่ คงต้องรอทดลองกันอีกครั้ง
แม้ว่าการขับยังไม่ได้รู้รายละเอียด หรือจุดเด่นมากนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงทิศทางที่ดี เพราะแม้รถจะยังไม่ผ่านการพัฒนา 100% แต่กล้าเอามาให้ได้ลองกัน ถือว่ามาสด้าก็พร้อมรับความเสี่ยง และมั่นใจในสกายแอคทีฟ เอ็กซ์ เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ครับ
แนวคิดเบาะนั่งใหม่ยึดร่างกายมนุษย์
เคยมีบริษัทรถยนต์หลายรายพยายามที่จะพัฒนาระบบที่คล้ายกับสถายแอคทีฟ เอ็กซ์ แต่ว่ายังไม่มีใครสามารถทำได้อย่างจริงจัง นอกจากมาสด้า
ที่มาที่ไปคร่าวๆ ของเทคโนโลยีนี้ ก็คือการมองเห็นจุดอ่อน จุดแข็งของเทคโนโลยีเครื่องยนต์หลักที่ใช้กันในปัจจุบัน ก็คือ ดีเซล กับเบนซิน โดยทำให้มันมีทั้งการจุดระเบิดด้วยหัวเทียนอย่างที่เครื่องยนต์เบนซินใช้กัน และการจุดระเบิดด้วยการอัดอากาศแบบเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งจะเกิดขึ้นเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ และทำให้การจุดระเบิดของมันมีทั้งด้วยหัวเทียน และด้วยการอัดอากาศในบางจังหวะ เช่น ที่ศูนย์ตายบนที่มีการอัดอากาศถึงขั้นที่สามารถจุดระเบิดได้เอง และเมื่อรวมกับการจุดระเบิดด้วยหัวเทียน ทำให้พื้นที่การเผาไหม้นั้นกว้างขึ้นกว่าการทำงานด้วยระบบใดระบบหนึ่งเท่านั้น ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งครับ เพราะพื้นที่ตรงนี้ต้องคุยในภาพรวมของการขับขี่ครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงเรื่องของเบาะที่นั่งที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้สำหรับโปรโตไทป์ นอกจากเครื่องยนต์และช่วงล่าง
วิศวกรมาสด้าบอกว่า การออกแบบเบาะนั่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปพอควร มีเป้าหมายเพื่อให้นั่งสบายขึ้น ควบคุมรถได้ดีขึ้น และมีผลดีต่อเรื่องของสุขภาพ โดยการพัฒนายึดจากหลักธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะโครงสร้างกระดูกสันหลังที่จะต้องอยู่ในรูปตัวเอส ขณะที่กระดูกเชิงกรานตั้งตรง
ซึ่งเท่าที่ลองนั่งเปรียบเทียบกัน ก็นั่งสบายขึ้นครับ และยังรู้สึกถึงการโอบกระชับลำตัว และคิดว่าโดยรวมแล้ว มาสด้าคงจะต้องการเพิ่มอารมณ์สปอร์ตผ่านเบาะด้วยเช่นกัน