หวั่นสงครามการค้าลามฉุดดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก

หวั่นสงครามการค้าลามฉุดดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก

ดัชนีซีเอฟเอ็นเอไอ เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐ 85 รายการ โดยดัชนีที่มีค่าเป็นบวกจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สูงกว่าแนวโน้ม ขณะที่ดัชนีที่มีค่าเป็นลบจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าแนวโน้ม

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐ และประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกมาตรการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.45 เยน จากระดับ 109.98 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9857 ฟรังก์ จากระดับ 0.9897 ฟรังก์

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1703 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1662 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3282 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3261 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7404 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7440 ดอลลาร์สหรัฐ

นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ

“ในนามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผมขอชี้แจงว่า ข่าวเกี่ยวกับการที่สหรัฐจะจำกัดการลงทุนของจีนที่ปรากฎในสำนักข่าวบลูมเบิร์ก และหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ถือเป็นข่าวลวง โดยคนปล่อยข่าวอาจจะไม่มีอยู่จริง หรือไม่รู้เรื่องนี้มากนัก และทางกระทรวงจะออกแถลงการณ์ที่ไม่ระบุโดยตรงถึงจีนเท่านั้น แต่จะเป็นแถลงการณ์ต่อทุกประเทศที่กำลังพยายามขโมยเทคโนโลยีของเรา” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานก่อนหน้านี้ว่า ปธน.ทรัมป์วางแผนที่จะห้ามบริษัทของจีนเข้าลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีของสหรัฐ และจะห้ามบริษัทสหรัฐส่งออกเทคโนโลยีให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง พร้อมระบุว่า สหรัฐเตรียมประกาศมาตรการดังกล่าวภายในสัปดาห์นี้ เพื่อตอบโต้นโยบาย“เมดอินไชน่า 2025” ของจีนที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี

ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ยังเตือนว่า “ทุกประเทศที่ตั้งกำแพงการค้า และเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ควรจะยุติการกระทำดังกล่าว มิฉะนั้นจะเผชิญกับการตอบโต้จากสหรัฐ”

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก ซึ่งระบุว่า ดัชนีชิคาโก เฟด เนชั่นแนล แอคทิวิตี อินเด็กซ์( ร่วงลงแตะระดับ -0.15 ในเดือนพ.ค. จากระดับ +0.42 ในเดือนเม.ย. ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในเดือนพ.ค. โดยดัชนีที่มีค่าเป็นลบในเดือนพ.ค. มีสาเหตุจากการปรับตัวลงของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต แม้ว่าตัวชี้วัดเกี่ยวกับยอดขาย, คำสั่งซื้อ และปริมาณสินค้าคงคลังปรับตัวขึ้นก็ตาม

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 6.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 689,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว โดยได้รับอานิสงส์จากยอดขายบ้านทางภาคใต้ของสหรัฐที่ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 11 ปี