ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่22 มิถุนายน พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างประมวลเรื่องเพื่อเสนอ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะทำงานดำเนินการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำขยะอิเล็คทรอนิกส์จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศโดยผิดกฎหมายและคัดแยกอย่างไม่ถูกต้องชนิดขุดรากถอนโอน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานรัฐหากพบว่าเอื้อประโยชน์ให้เกิดการกระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด ยืนยันว่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้ากรณี พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหามาตราการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว หากกฎหมายที่มีปกติไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้ให้ที่ประชุมคณะงานร่วมเสนอเพื่อใช้ ม.44 ดำเนินการ รวมถึงพิจารณาร่วมกันว่าจำเป็นต้องยกเลิกอนุสัญญาบาเซิลหรือไม่เพื่อไม่ให้ขยะอิเลคทรอนิกส์เข้าประเทศอีกต่อไปเพราะปัจจุปันเห็นแล้วว่าไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลได้ตังแต่ขั้นตอนการนำเข้า ขั้นตอนการขนย้าย ขั้นตอนการคัดแยกตลอดจนการกำจัดที่ไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต จนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนสิ่งแวดล้อม ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ามีตำรวจถูกโทรศัพท์ข่มขู่กรณีเข้าไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ข่มขู่ตนเอง ส่วนจะมีการข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นหรือไม่นั้น ได้เน้นย้ำว่าไม่ต้องกลัวและขอให้ฟังตนเองคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นตนเองจะรับผิดชอบ
รองผู้บัญชาการตำรวแห่งชาติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ 7บริษัทที่ได้รับการอนุญาตให้นำเข้าขยะอิเลคทรอนิกส์ตามอนุสัญญาบาเซิล พบว่ามี5บริษัทดำเนินการผิดเงื่อนไขต้องยกเลิกการนำเข้าโค้วต้าที่เหลืออยู่ประมาณ1แสนกว่าตันทั้งหมดหลังจากนำเข้ามาประมาณ9หมื่นตันใน2ปี ส่วนอีก2บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบ และพบว่ามีการลักลอบนำเข้าขยะอิเลคทรอนิกส์อย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก
