STEC - ซื้อ

STEC - ซื้อ

ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมา

เราแนะนำ “ซื้อ” STEC เนื่องจากเราเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าลงทุนที่สุดในครึ่งหลังของปี 2561 โดยเรามองว่ามีโอกาสมากที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นต่อ เนื่องจากบริษัทดูดีที่สุดตั้งแต่เราเริ่มให้คำแนะนำในปี 2547 ในขณะที่ราคาหุ้นต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมมาก เราคิดว่าถึงเวลาปรับเพิ่มราคาเป้าหมายที่ประเมินด้วยวิธี PBV ให้สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากเดิม 0.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (เทียบกับสถิติสูงสุดที่ 2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ขึ้นเป็น 28 บาท

มูลค่างานในมือสูงที่สุดเป็นประวัติกาลทำให้ภาพการเติบโตชัดเจน

มูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ของ STEC ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ 1.25 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมี.ค. อีกทั้งโครงการส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะเห็นรายได้เร่งตัวขึ้นตาม S-curve ดังนั้นแม้ว่า STEC ไม่รับโครงการใหม่เข้ามาเลยในอีกสองปีข้างหน้า แต่รายได้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มเป็น 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2561 และ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 หรือคิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี

งานภาครัฐทยอยประมูลในครึ่งปีหลัง

นับตั้งแต่ต้นปี STEC เซ็นต์สัญญาโครงการใหม่มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของบริษัทที่ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และเนื่องจากจะมีงานประมูลขนาดใหญ่อีกมากในครึ่งหลังของปี 2561 STEC จึงตัดสินใจปรับเพิ่มเป้าหมายมูลค่างานใหม่ขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2561 โดยโครงการภารรัฐที่คาดจะขายซองประมูลเดือนนี้ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมูลค่า 2.25 แสนล้านบาท และโครงการทางด่วนพระราม 3 มูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ TOR สำหรับโครงการโรงไฟทางคู่ทั้ง 7 สาย มูลค่า 2.61 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงมูลค่า 1.01 แสนล้านบาทน่าจะเห็นในครึ่งปีหลังนี้ ทั้งนี้การเซ็นต์สัญญาโครงการเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งซึ่งน่าจะมีขึ้นในเดือนก.พ. 2562

งานภาคเอกชนขนาดใหญ่เริ่มกลับมา

นอกจากงานภาครัฐขนาดใหญ่แล้ว โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชนกำลังจะเริ่มทยอยออกมา โดยโครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการ mixed-use มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ได้เริ่มตอกเสาเข็มแล้วและอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้รับเหมาสำหรับการก่อสร้างอาคาร ขณะที่โครงการดุสิตมูลค่า 3.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง CPN และDusit น่าจะเริ่มเจรจากับผู้รับเหมาในครึ่งหลังของปี 2561 เนื่องจากโครงการนี้ตั้งเป้าจะเริ่มก่อสร้างในต้นปี 2562 นอกจากนี้ STEC ยังเล็งงานก่อสร้าง
บางส่วนของโครงการขยายโรงกลั่นของ TOP มูลค่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะได้ผลสรุปในปลายไตรมาส 4/61 หรือต้นปี 2562

อัตรากำไรขั้นต้นเป็นขาขึ้น

อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มสูงกว่าที่บริษัทมองไว้เดิมที่ 6.5-7% เนื่องจาก 1)บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการสร้างรัฐสภาและสนามบินภูเก็ตได้แล้ว และ 2) งานที่ให้อัตรากำไรสูงอย่างโครงการโรงไฟฟ้า Gulf ศรีราชามูลค่า 9.4 พันล้านบาทจะเริ่มก่อสร้างในเดือนก.ค. นี้ ซึ่งเร็วกว่าแผน 5 เดือน ทั้งนี้ เราประเมินอัตรากำไรขั้นต้นที่ 7.4% สำหรับปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/61 ที่ 7.7% เล็กน้อย