สร้าง MICE ECOsystem ดันอุตสาหกรรมธุรกิจการประชุม-การท่องเที่ยว

สร้าง MICE ECOsystem ดันอุตสาหกรรมธุรกิจการประชุม-การท่องเที่ยว

ทีเส็บ สร้าง MICE ECO System ให้ธุรกิจไมซ์ ผ่าน platform งาน Thailand Incentive & Meeting Exchange 2018 (TIME 2018) สร้างการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไมซ์ในประเทศและต่างประเทศ โดยเจาะตลาดระยะไกล จาก 3 ทวีป ยุโรป อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย

นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวว่าธุรกิจการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Meetings & Incentives) หรือ MI เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ประมาณร้อยละ 50 ให้แก่อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย โดยมีอัตราการเติบโตสูงสุดในครึ่งแรกของปีงบประมาณ กลุ่ม Meetings (M) มีจำนวนนักเดินทาง 150,849 คน เติบโต 11.81% และกลุ่ม Incentives (I) มีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ 176,005 คน เติบโตสูงสุดถึง 21.63% โดยการขับเคลื่อนตลาด MI ในปีนี้และปี 2562 เน้นการสร้างระบบ MICE Eco System หรือระบบนิเวศน์ให้แก่ธุรกิจไมซ์ สร้างความเกื้อหนุนและส่งเสริมในทุกปัจจัยและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อบูรณาการงานอย่างสอดประสานและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันใน 3 แนวทาง

2_8

ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมไมซ์ โดยเฉพาะธุรกิจ MI ให้เกิดการจัดงานที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งด้านโทรคมนาคม ยานยนต์ สุขภาพและบริการ เพื่อขยายความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศผ่านการประชุม 2. ส่งเสริมการจัดประชุมในพื้นที่เมืองไมซ์ซิตี้และเมืองที่มีศักยภาพ อาทิ  เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี สนับสนุนการสร้างทรัพยากรในพื้นที่ให้พร้อมรองรับการจัดงาน สร้างงานและรายได้ให้ประชาชน พัฒนาระบบนิเวศน์ไมซ์ในภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล 3. สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์ไทย ให้พัฒนาศักยภาพของสินค้า บริการ รวมทั้งการตลาดและการขาย โดยทีเส็บทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเวทีไมซ์ส่งเสริมผู้ประกอบการ อาทิ การสร้างเวทีให้ความรู้ เวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างประเทศ สร้าง Demand และ Supply ที่เกื้อหนุนกันของธุรกิจ”

งาน TIME 2018 คือ หนึ่งในกิจกรรมหลักของฝ่ายส่งเสริมการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการไมซ์ โดยใช้เวทีนี้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพิ่มมุมมองการตลาดใหม่ ๆ พร้อมนำข้อมูล เพื่อไปใช้ในการวางแผนการตลาดแบบสร้างสรรค์ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง สร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าในจุดขายให้กับประเทศไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงขยายโอกาสทางการตลาดจากการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ที่ผ่านมา ในปีที่ 1 และปีที่ 2 การจัดงานเน้นเจาะตลาดกลุ่มประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยจีนและอินเดียยังคงมีจำนวนนักเดินทางไมซ์เดินทางมายังประเทศไทยสูงสุดต่อเนื่องในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ และสำหรับงาน TIME ในปีที่ 3 นี้เน้นเจาะตลาดระยะไกล (Long Haul) 3 ทวีป ยุโรป อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย  ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 ตลาด Long Haul ทั้ง 3 ทวีป ในธุรกิจไมซ์ มีการเติบโตด้านจำนวนนักเดินทางรวมร้อยละ 8.34 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักเดินทางไมซ์ รวม 101,514 คน สร้างรายได้กว่า 7,943 ล้านบาท โดยกลุ่ม Long Haul หรือกลุ่มที่ใช้ระยะเวลานานในการเดินทาง มักจะขยายเวลาเพื่อพักผ่อนหลังการประชุม นับเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการเติบโตสูง อีกทั้งยังเกิดการเดินทางมาซ้ำ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสำหรับประเทศไทย

4_2

งาน TIME 2018 แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมได้แก่ 1. Knowledge Exchange ภายใต้คอนเซ็ปต์ Element of Thailand ในวันที่ 19 มิถุนายน โดยเวทีนี้จะให้ความรู้ เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย สร้างความเข้าใจในตลาดระยะไกล (Long Haul) 3 ตลาดหลัก คือ ออสเตรเลีย รวมถึงโอเชียเนีย อเมริกา และยุโรปเรื่องอุตสาหกรรมไมซ์ในแต่ละภูมิภาค เทรนด์และความต้องการจัดกิจกรรมไมซ์ รวมถึงเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว กฎระเบียบ องค์ประกอบแวดล้อม เจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้าองค์กรในการเลือกสถานที่การจัดงานประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล 2. Business Exchange กิจกรรมการเจรจาธุรกิจ ในช่วงบ่ายวันที่ 19 มิถุนายน มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเรียกกิจกรรมนี้ว่า Social Club ให้เป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer) จำนวน 30 ราย จากประเทศในกลุ่ม Long Haul ได้พบปะเจรจาธุรกิจกับผู้ขายซึ่งเป็นผู้ประกอบการไมซ์ไทย โดยสร้างประสบการณ์เจรจาธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยแบ่งพื้นที่การจัด Social Club ออกเป็น 4 รูปแบบที่สะท้อนจุดขายของประเทศไทย ทั้งรูปแบบชายหาด (Beach) ซึ่งเป็นการจำลองบรรยากาศการจัดประชุมในพื้นที่ชายหาด รูปแบบธรรมชาติ (Nature) จัดงานแบบสัมผัสธรรมชาติอย่างยั่งยืน, รูปแบบวัฒนธรรม (Culture) ชูจุดขายโชว์เอกลักษณ์ประเพณี และรูปแบบเมือง (City) สะท้อนการจัดงานไมซ์ระดับมืออาชีพในเมืองใหญ่ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเห็นความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจุดหมายปลายทาง และเข้าใจลักษณะการจัดงานที่รองรับได้หลากหลายความต้องการในประเทศ

5_4

3. Experience Exchange ภายใต้แนวคิด Global Exchange for Change กิจกรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Familiarization Trip) ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2561 ให้แก่กลุ่มลูกค้า Long Haul ต่างประเทศกว่า 30 ราย ณ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อแสดงศักยภาพของเกาะสมุยในการรองรับกลุ่ม MI ขนาด 50-100 คน เน้นความหรูหรามีระดับ (Luxury) กิจกรรมนี้จะสร้างประสบการณ์ตรงให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ขยายผลทางธุรกิจ รวมถึงสร้างโอกาสในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ผู้ประกอบการไทยในพื้นที่ สามารถนำเสนอศักยภาพความพร้อม การแสดงสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่น นอกเหนือจากนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ควบคู่ไปกับกิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคี (Team Building) ซึ่งหลังจากกิจกรรมครั้งนี้ ทีเส็บมั่นใจว่า    เกาะสมุยจะถูกเลือกเป็นจุดหมายปลายทางเพิ่มมากขึ้นสำหรับกลุ่มพรีเมียมขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ คาดว่าจากการจัดกิจกรรม TIME 2018 จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ ประมาณ 170 ล้านบาท

1_7

นางนิชาภา กล่าวต่อไปว่า นอกจากกิจกรรม TIME 2018 ที่มุ่งเน้นกับกลุ่ม Long Haul เป็นหลักแล้ว ปีนี้ทีเส็บยังเตรียมโปรโมชั่นการตลาดสำหรับกลุ่ม MI  ได้แก่ Campaign “Meet by Design” ซึ่งการสนับสนุนจะแบ่งตามวัตถุประสงค์ รูปแบบของกิจกรรม และขนาดของกลุ่มนักเดินทางที่เข้าร่วมงานที่จะเกิดขึ้น อาทิ Meet Now สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสร้างความประทับใจและอำนวยความสะดวก ให้กับงานที่มีผู้เข้าร่วมงานชาวต่างชาติจำนวน 50 คนขึ้นไป และมีระยะเวลาพำนักในประเทศไทยอย่างน้อย 3 คืน Meet SMART สนับสนุนงบประมาณ สูงสุด 100,000 บาทต่องาน สำหรับนักเดินทางกลุ่ม MI ที่ดำเนินธุรกิจใน 5 อุตสาหกรรมหลักภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 โดยต้องมีผู้เข้าร่วมงานชาวต่างชาติจำนวน 50 คนขึ้นไป และมีระยะเวลาการจัดประชุมอย่างน้อย 2 วัน ณ สถานที่จัดงานที่ได้รับมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (Thailand MICE Venue Standard) นอกจากนี้ กิจกรรมการตลาดและการขายที่กระตุ้นธุรกิจ MI ในตลาด Long Haul ในปี 2561 ประกอบด้วย การสร้างพาวิลเลียนและพาผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานเทรดโชว์ IMEX Frankfurt 2018 เยอรมนี งาน IMEX America 2018 อเมริกา งาน IBTM World 2018 สเปน เพื่อสร้างโอกาสทางการขายและการตลาด ประกอบด้วย งานที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รวมถึงในเมืองซิดนีย์และเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังมีการเดินสายจัดกิจกรรม Sales Mission ที่อเมริกาตอนกลางฝั่งตะวันตก (Midwest) เมืองแดลลัส เมืองมินนีแอโพลิส และนครชิคาโก

7_1

สำหรับงานไมซ์ที่เข้ามาจัดในประเทศไทยจากตลาดระยะไกล (Long Haul) โดยมาจัดงานประชุมองค์กรในปี 2561 มีตัวอย่างงานเด่น ๆ เช่น จากออสเตรเลีย ซึ่งมาจากอุตสาหกรรมไอทีและการสื่อสาร ได้แก่ คณะจากบริษัท Beyond Trust จำนวน 100 คน และจาก Business Blueprint อีก 180 คนที่ภูเก็ต อีกงานเด่น คือ งาน Autodesk Otx APAC มีผู้เข้าร่วม 700 คนที่กรุงเทพฯ และกลุ่มจากบริษัท Vodaphone อีก 144 คน มาเข้าร่วมการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลที่เกาะสมุย นอกจากนี้ ยังมีจากทวีปยุโรป ได้แก่ บริษัท Colt Technologies Services จำนวน160 คนที่กรุงเทพฯ และกระบี่ ส่วนอีกกลุ่มสำคัญจากสหรัฐอเมริกา ได้แก่งาน IBM AP Cloud Fast Start มีผู้เข้าร่วม 1,100 คน มาจัดงานประชุมองค์กรที่กรุงเทพฯ

“ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมไมซ์ในครึ่งปีงบประมาณ 2561 มีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เดินทางมาประเทศไทย รวม 547,623 คน สร้างรายได้คิดเป็น 42,854 ล้านบาท โดยกลุ่มประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (MI) มีอัตราการขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับธุรกิจไมซ์อื่นๆ ได้แก่ กลุ่มการประชุม (M) มีจำนวนนักเดินทาง 150,849 คน เติบโตขึ้นร้อยละ 11.81 สร้างรายได้ 14,574 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.95 กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (I) มีจำนวนนักเดินทาง 176,005 คน เติบโตขึ้นร้อยละ 21.63 สร้างรายได้ 10,282 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 15.67 นับเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เข้าประเทศไทยที่น่าจับตามอง โดยทีเส็บได้บูรณาการแผนส่งเสริมการตลาดและการขายอย่างเข้มข้น เพื่อดึงนักเดินทางและสร้างรายได้จากกลุ่ม MI ตลอดปีนี้ และปี 2562” นางนิชาภา กล่าวสรุป

สำหรับปีงบประมาณ 2561 นี้ ทีเส็บคาดว่าจะมีภาพรวมนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย  1,327,000 คน สร้างรายได้ 124,000 ล้านบาท โดยเป็นนักเดินทางกลุ่ม MI จำนวน 596,000 คน ซึ่งคาดการณ์ว่าตลาด MI จะเติบโตร้อยละ 7 โดยกลุ่มตลาดLong Haul จะเติบโตขึ้นร้อยละ 5