“อภิสิทธิ์” ชี้คำสั่ง คสช. เป็นปัญหา "เลือกตั้ง" ไม่เห็นด้วยใช้ ม.44 งดไพมารี่โหวต ระบุไม่แปลกใจ “เอนก” พร้อมจับมือ พท. ลืมอดีต เพราะเสนอเรื่องจับมือทุกพรรคตลอด
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าอย่าทำไพรมารี่เลย แล้วจะตอบสังึมได้อย่างไร ในประเด็นที่บอกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ปัญหาทั้งหมดเหมือนแม่น้ำ 5 สายไม่ทำให้ทุกอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่โฆษณาหรือสิ่งที่พูดไว้ มาสร้างอุปสรรคกันเอง การไม่ปลดล็อกก็ทำให้การทำไพรมารี่ยากยิ่งขึ้น และการที่ไม่รู้ว่าแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไรก็ไม่สามารถทำไพรมารี่โหวตได้ ซึ่งเรื่องแบ่งเขตเป็นตัวปัญหามาจากการที่ คสช. ล็อคไว้หลานชั้น คือ1.เมื่อทำกิจกรรมทางการเมืองไม่ได้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)จะแบ่งเขตเลือกตั้งต้องไปปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งเขาก็ตีความว่าการทำเช่นนั้นเป็นกิจรรมทางการเมือง แม้กกต. จะบอกว่าแบ่งไว้หลายแบบแต่เขาเดินหน้าไม่ได้ และ2. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จงใจให้กฎหมายเลือกตั้งส.ส. แม้ประกาศแล้วก็ยังไม่ให้ใช้บังคับเลื่อนไป 90 วัน กลายเป็นว่าต่อให้กกต. ทำเรื่องแบ่งเขตเสร็จแล้ว ก็ยังประกาศอย่างเป็นทางการไม่ได้ เพราะต้องรอกฎหมายเลือกตั้งบังคับใช้ก่อน และกลับมาพันกฎหมายพรรคการเมือง ถ้ายังไม่สามารถแบ่งเขตเลือกตั้งได้ การจัดตั้งสาขา ถ้าไม่ใช่พวกที่ทำพิธีกรรมตามกฎหมายก็ยังไม่ได้เพราะแต่ละสาขาต้องมีสมาชิก 500 คน เมื่อสาขาตั้งไมได้ คนที่จะทำไพรมารี่ควรจะเป็นสาขา ในกรณีตัวแทนพรรคประจำจังหวัดคือกรณีที่ไม่มีสาขา จึงย้อนกลับไปว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดกลายเป็นส่งเสริม อยากสลาย อยากได้เปรียบ อยากคุมให้การเมืองเป็นแบบเก่าๆ ก็ให้ทำตามกฎหมายเป็นพิธีกรรมไป
ส่วนที่มีการขอให้ใช้ม.44 ยกเลิกการทำไพรมารี่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนไม่นิยมเรื่องมาตรา 44 และไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมหรือไม่ แต่ถ้าให้กับเรื่องปลดล็อคสามารถทำได้ เพราะคำสั่งคสช.ก็ต้องแก้ด้วยคำสั่งคสช. แต่ถ้าใช้ม.44 กับกฎหมายจะมีปัญหา เพราะกฎหมายอยู่ในขั้นตอนการทูลเกล้าฯ เป็นห่วงเวลาของการใช้พระราชอำนาจ ยังไม่มีใครบอกได้ว่ากฎหมายจะตราออกมาอย่างนี้ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจอาจจะยับยั้ง หรือเห็นชอบก็ตาม เมื่อยังไม่เป็นกฎหมาย แล้วจะใช้มาตารา 44 ถ้ากฎหมายออกมากลายเป็นว่ากฎหมายออกมาทีหลังมาตรา 44 ก็ต้องแก้คำสั่งอีก นี่คือความสบสนที่เกิดขึ้น ดังนั้นในมุมของตนที่จะไปแตะต้องเรื่องกฎหมายในขณะนี้ทำได้ยาก ถ้าจะทำได้คือเรื่องปฏิบัติ เช่นตอนนี้ทำอย่างไร ให้พรรคหาสมาชิกได้ ทำกิจกรรมได้ เพื่อให้ระบบของพรรคมีความพร้อมมากที่สุด หรือปลดล็อกเพื่อให้ กกต.ทำงานได้ ทั้งนี้ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าให้เดินหน้าทำไพรมารี่ ประชาธิปัตย์เราทำเต็มที่
ในส่วนกรณีนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ แกนนำก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ระบุว่า ไม่ขัดแย้งที่จะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และจะทำกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กลุ่มคนที่ไปทำพรรคนี้ส่วนใหญ่บอกว่าผลักดันการปฏิรูป และสู้กับระบอบทักษิณ แต่นายเอนกพูดเสมอว่าจะทำพรรคแบบลืมอดีต แต่ตอนนี้ท่าทีของนายอเนกบอกว่าพร้อมจะจับมือกับทุกพรรค และพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะว่าในการทำงานของนายเอกนก ที่ผ่านมาหลายสถานะ ก็ได้เสนอความคิดทำนองนี้อยู่เสมอ ดังนั้นก็อยู่ที่สมาชิก รปช.เองว่าเห็นด้วยหรือไม่ และการที่จะทำเรื่องนิรโทษกรรมหรือปรองดอง มันสลายขั้วหรือกลุ่มการเมืองจริงหรือไม่ ตนสนับสนุนให้นิรโทษกรรมคดีของประชาชนเล็กน้อย แต่ในเรื่องของบางคดีถ้าเรานิรโทษกรรมเหมือนกับเรากำลังส่งสัญณาณให้ใช้ความรุ่นแรง ในที่สุดก็ไม่มีความผิด หรือดีทุจริต ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเมืองแต่เป็นการปล้นทรัพยากรของแผ่นดิน เพียงเพราะเขามีอำนาจ อันนี้อันตรายมาก
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงร่างยุทธศาสตร์ชาติว่า ตนไม่แน่ใจว่าคนที่บอกจะฉีกยุทธศาสตร์ชาติ ได้อ่านและชี้ให้เห็นได้หรือว่ามีอะไรบ้างที่จำเป็นถึงขั้นต้องฉีก ถ้าเอา 6 ข้อที่เป็นยุทธศาสตร์ ตนไม่แน่ใจว่ามีตรงไหนที่เป็นปัญหา ส่วนเนื้อหาก็เป็นเรื่องแปลก ตนดูแล้วเขียนออกมาก็ไม่ค่อยเป็นยุทธศาสตร์ เพราะการเป็นยุทธศาสตร์ต้องมาจัดลำดับความสำคัญว่าต่อไปนี้ทิศทางจะเดินต้องไปอย่างนี้ ทรัพยากรที่ใช้ต้องไปอย่างนี้ และยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่เขียนมาเหมือนนั่งไล่เรียงสิ่งที่อยากให้เกิด สิ่งที่อยากจะได้ และ 6 ข้อที่ว่าใครไม่อยากได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร่ และมีการบังคับกันจริงจังแค่ไหน ทำไมเราอยากได้ทุกอย่างแล้วไม่เอาทุกอย่าง คำตอบคือทรัพยากรไม่ได้มีทุกอย่างเราต้องเลือก และสิ่งที่อยากได้บางทีขัดกันเอง เช่นการลดความเหลื่อมล้ำ หรืออยากได้พลังงานสะอาด แต่รัฐบาลยังเดินหน้าทำพลังงานถ่านหิน หากทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถือว่าขัดยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ ตนถึงบอกว่า เขาพยายามเขียนให้กว้างเลยไม่ค่อยเป็นยุทธศาสตร์ สิ่งที่เป็นปัญหาคือถ้าเอามาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองก็จะเกิดความยุ่งยากขึ้น
“สำหรับจุดยืนประชาธิปัตย์ ผมยืนยันว่าพรรคมีวิสัยทัศน์อนาคตของประเทศ เป็นไปได้ว่าเมื่อเข้าไปทำงาน หรือเมื่อนำเสนอนโยบายในการเลือกตั้ง บางเรื่องอาจจะถูกตีความว่าไม่ตรง ไม่อยู่ในยุทธศาสตร์ แต่ถึงขั้นจะขัดก็ยังไม่แน่ใจ เพราะถ้าเขียนกว้างแบบนี้ แต่ผมก็จะเสนอ ถ้าประชาชนเห็นพร้องก็ต้องพยายามไปปรับแก้ให้ไปด้วยกันได้ เพราะไม่ต้องการให้หลังการเลือกตั้งสังคมกลับสู่ความขัดแย้งทันที โดยเอารัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติมาเป็นสัญญาลักษณ์ของการต่อสู่ ผมอยากเห็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งแก้ปัญหาของประชาชน เรียกศรัทธาให้กับคืนสู่ฝ่ายการเมืองให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยบอกกับประชาชนว่ามีความจำเป็นในการที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ แก้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เดินหน้าได้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งในใจผมในที่สุดทั้งรัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติ คงต้องมีการปรับแก้แน่ แต่ไม่อยากให้สังคมกระโดดเข้าไป พอหลังการเลือกตั้งปั๊บก็เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นสัญญาลักษณ์ความขัดแย้งรอบใหม่ สุดท้ายประชาชนคนไทยกับประเทศก็เสียโอกาสในเรื่องอื่นๆอีก ”นายอภิสิทธิ์ กล่าว