“เอไอ” ป่วนตลาดหุ้น แก้เกม..! ก่อน “ตกเทรนด์” 

“เอไอ” ป่วนตลาดหุ้น แก้เกม..! ก่อน “ตกเทรนด์” 

เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ปั่นป่วนทุกธุรกิจ..! ไม่เว้น“ตลาดหุ้นไทย” ที่“เอ็มดี”ตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ เร่งแก้เกมนำ“เทคโนโลยี-นวัตกรรม” เสริมแกร่งบริการ ยุค“เอไอ”ครองโลก 

ปฏิเสธไม่ได้ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีดิจิทัล” กระทบต่อทุกภาคส่วนธุรกิจ ไม่เฉพาะภาคการเงิน ที่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคำฮิตอย่าง พร้อมเพย์” (PromptPay) และฟินเทค” (FinTech) คำเรียกรวมๆ ซอฟต์แวร์ให้บริการทางการเงิน

ทว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังคืบคลาน เข้ามาปั่นป่วน ตลาดทุน” รวมถึงการทำงานของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มากขึ้นเรื่อยๆผ่านการเกิดนวัตกรรม และรูปแบบการลงทุน ระดมทุนธุรกิจใหม่ๆ และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

สะท้อนผ่าน ICO หรือ Initial Coin Offering ซึ่งเป็นการ ระดมทุน และการนำเงินไป ลงทุน เพื่อที่จะเปิดตัวโครงการ หรือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท โดยมีการออกเหรียญดิจิทัลมาเพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในโปรเจคดังกล่าว 

หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ก็คือ ตัว ICO จะคล้ายคลึงกับ IPO” ที่เรารู้จักกันดี เพียงแต่ตัวหุ้นนั้นจะถูกแทนที่ด้วยเหรียญดิจิทัล และสามารถนำไปแลก หรือซื้อขายเป็นเหรียญสกุลอื่นๆอย่าง Bitcoin 

รวมถึงการใช้ Biometric ในการยืนยันตัวตน การใช้ ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence - AI) ในการที่จะศึกษาพฤติกรรมผู้ลงทุน และพัฒนาบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ลงทุน หรือการให้บริการ Robo-Adviors  (ปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามาให้คำปรึกษาด้านการลงทุน) ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจปัจจุบันต้องปรับตัวและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจทั้งสิ้น

ฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่นิ่งเฉยไม่ได้...!! ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 13” ของตลาดหุ้นไทย ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ปัจจุบันมี 4 ปัจจัยเข้ามากระทบการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ 

ข้อแรกสุดคือ เทคโนโลยี มาจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ บล็อกเชน (Blockchain) , คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) เป็นต้น เรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับไม่ใช่แค่ภาคการเงิน แต่รวมถึงประชาชน ระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ คงอยู่เฉลยไม่ได้

ข้อสอง การเปลี่ยนแปลงของประชากร เมืองไทยกำลังเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ” (Aging Society) แต่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกลับยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนเลย ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ คงไม่สามารถทำงานเหมือนเดิมได้

ข้อสาม การเชื่อมต่อระหว่างไทยกับโลก ปัจจุบันเริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้าออกประเทศมากขึ้นและบ่อยขึ้นด้วย

และข้อสี่ ภาครัฐเริ่มเห็นประโยชน์ตลาดทุน จากการพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนให้มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นและเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น ส่งเสริมให้สตาร์อัพเติบโต และสิ่งที่ตอนนี้เราจะเห็นภาครัฐพูดบ่อยๆ คือ ตลาดทุนจะเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจในอนาคตให้มากขึ้นได้อย่างไร

ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจึงเป็นทั้ง โอกาส และ ความท้าท้าย ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะปรับเน้นการทำงานภายใต้แนวความคิด “Creating Partnership Platform to Drive Inclusive Growth” เพื่อขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการ สร้างจุดเปลี่ยน-เสริมจุดปรับ-ชูจุดขาย-คงจุดยืน

การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างจุดเปลี่ยน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของตลาดแบบครบวงจร โดยเฉพาะการนำ ข้อมูลขนาดใหญ่” (Big Data) มาวิเคราะห์ เพื่อเหมาะสมกับการบริการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน , นักวิเคราะห์ (โบรกเกอร์) , บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานได้ง่ายขึ้น และสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดี

ต้องนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการแบบครบวงจร (end-to-end service) พร้อมสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเน้นการทำงานร่วมกับผู้ร่วมตลาดทุน เพื่อต่อยอดบริการและสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรม 

ปัจจุบันมี Platform ที่ครบถ้วน แต่อยากให้มีการบริการต่อเนื่องที่เหมาะสมกับลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ให้คำปรึกษาได้รับบริการที่ดี ซึ่ง ตลท. จะดำเนินการเองทั้งหมดคงทำได้ยาก ดังนั้นต้อง Partnership เช่น บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทฟินเทค เข้ามาบูรณาการความรู้ร่วมกันพัฒนาในอนาคต” 

เสริมจุดปรับ” เตรียมพร้อมบุคลากรในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดทุน ในการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสร้างธุรกิจใหม่ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าปฏิรูปกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดอุปสรรคในการทำธุรกิจและการลงทุน

ชูจุดขาย สร้างตลาดทุนไทยให้ โดดเด่น ยิ่งขึ้นเป็น Market of Well-being ในเวทีโลก เนื่องจากกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์ และอาหาร เป็นจุดแข็งของประเทศ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการระดมทุนและลงทุนของตลาดทุนไทยและตลาดทุนต่างประเทศ โดยทำงานร่วมกับผู้ร่วมตลาด รวมถึงการระดมทุนโดยใช้ Infrastructure Fund และ Infrastructure Trust ผ่านตลาดทุนไทยเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค โดยเฉพาะ CLMV และพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นจุดเชื่อมโยงการลงทุนในอาเซียน

คงจุดยืน ส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เติบโตยั่งยืนอย่างมีคุณภาพในทุกมิติ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่ทั้ง SMEs และ Startup เติบโตผ่านการใช้ตลาดทุนไทย และให้ประเทศไทยมี ecosystem ที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการรายใหม่และมีศักยภาพสูง

เอ็มดีคนที่13” ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามจะสร้างจุดขายใหม่ให้กับตลาดหุ้นไทย จากช่วงที่ผ่านมาได้ใช้ธีมหลักของประเทศ คือ ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งจากนี้จะพยายามนำเสนอในธีม Market of Well-being เนื่องจากกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์ และอาหาร เป็นจุดแข็งของประเทศ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการระดมทุนและลงทุนของตลาดทุนไทยและตลาดทุนต่างประเทศ

เมืองไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีในระดับโลก โดยบริษัทจดทะเบียนไทยติดอันดับต้นๆ ของธุรกิจระดับโลก เช่น AOT (บมจ.ท่าอากาศยานไทย) เป็นผู้บริหารสนามบินอันดับ 1 ของโลก โรงพยาบาลไทยติดอันดับ 5 ของโลก ธุรกิจโรงแรมไทยติดอันดับ 10 กว่าของโลก รวมถึงร้านอาหารไทยเป็นอันดับ 27 ของโลก” 

นอกจากนี้ ยังจะพยายามจะหาเครื่องมือ ลดค่าใช้จ่าย การดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทในอุตสาหกรรมตลาดทุน โดยที่ผ่านมามีการดำเนินงาน Platform Fundconnect ต่อเชื่อมขายกองทุนรวม และตัวแทนขายกองทุนรวม

รวมถึง FinNet ที่เริ่มให้บริการระบบกลางในการชำระเงินสำหรับตลาดทุน จากเดิมใช้ระบบของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้สามารถทำธุรกรรมได้เฉพาะธนาคารเดียวกัน และหลังจากนี้ จะพัฒนาให้สามารถทำธุรกรรมข้ามธนาคารได้ สะท้อนจุดยืนหน้าที่ของตลท. ที่จะเป็นผู้พัฒนา platform เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนอีกด้วย 

ทั้งนี้ยังจะสนับสนุนให้ Start Up เข้าถึงการระดมทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยหาช่องทางที่สะดวกให้ Start Up เข้ามาใช้ประโยชน์ เพราะ ตลท.มีความสามารถเรื่องการทำ Platform ซึ่งคงต้องเป็นการทำงานร่วมกันกับภาครัฐ

ขณะที่ “ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงาน “จุดเปลี่ยนตลาดหุ้นไทยด้วย Robo-Advisor” ว่า ปัจจุบันตลาดเงิน-ตลาดทุนของประเทศมีมูลค่า มหาศาล และมีบทบาทสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากอิทธิพลของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต

ในเรื่องนี้ถือว่า ตลาดทุนจะมีบทบาทมากในด้านการลงทุนในอนาคต ที่จะทำให้ภาคเอกชนของไทยลงทุนผ่านตลาดทุนในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งวันนี้คือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก ไล่มาตั้งแต่ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ , คราวด์ฟันดิ้ง นี่คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยและใช้ประโยชน์จากตลาดทุนตลาดเงิน

อีกด้านที่มีความสำคัญมากเช่นกัน นั่นคือ “Robo-advisor” เป้าหมายคือ บุคคลทั่วไป วันนี้เทคโนโลยีไม่ใช้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเป็นเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์กับคนวงกว้าง ซึ่ง Robo-advisor ถือเป็นการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนได้ทุกเวลา ในเรื่องนี้ถ้าจะช่วยให้คนตัวเล็กอย่างผู้ประกอบการบริษัทขนาดกลางและย่อม (SMEs) ร่วมไปถึง สตาร์อัพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบตลาดเงินตลาดทุน

นอกจากนี้ ตลาดทุนยังเป็นกลไกลสำคัญในการระดมทุนพัฒนายกระดับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานประเทศ (บก-ราง-น้ำ-อากาศ) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการเงินทุนทั้งนั้น หากจะกู้เงินอย่างเดียวอาจจะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นได้ ดังนั้น การใช้ตลาดทุนกำลังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการหาเงินมาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยได้

วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงปรับเปลี่ยนสำคัญเทคโนโลยีมีเงินเราก็ซื้อได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของคนว่าเรามีคนที่พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่จริงหรือเปล่า ถือเป็นเรื่องที่เราต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน

ด้านผู้ประกอบการเอกชนอย่าง ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ส่งผลให้ปัจจุบันตลาดทุนไทยมีนวัตกรรมด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย และทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือนักลงทุนยังคงเป็นคนกลุ่มเดิม และเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ

ขณะที่ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยสมบูรณ์ แต่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกลับยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนเลย เนื่องจากขาดช่องทางการลงทุนที่ง่ายและสะดวก สังคมไทยจึงจำเป็นต้องมี Robo-advisor เข้ามาช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับคนทุกชนชั้น

ฉะนั้น แอพพลิเคชั่น “odini” เป็น Robo-advisor ที่นำ Quantitative Model และ Artificial Intelligence มาทำ Asset Allocation และเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนแต่ละประเภท รวมทั้งส่งคำสั่งซื้อขายแบบอัตโนมัติภายใต้เงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก เพื่อวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนแต่ละคน

“Robo-advisor เป็น Fintech ประเภท Wealth Tech ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และกำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก

เขา บอกว่า บลน. โรโบเวลธ์ จึงได้นำเสนอแอพพลิเคชัน โอดีนี่ ในกองทุนรวมแบบอัตโนมัติด้วย Robo-advisor ขึ้นเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด ลงทุนง่าย ได้ทุกคน  เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ “ง่าย” เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชันพร้อมเปิดบัญชีได้อย่างสมบูรณ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบบจะลงทุนให้แบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก

โดยเน้นความ สะดวก ผูกบัญชีเข้ากับระบบ Mobile Banking ของธนาคารชั้นนำที่มีอยู่แล้วได้ทันที ช่วยให้ลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งสามารถตั้งเงื่อนไขลงทุนรายเดือนแบบอัตโนมัติ Dollar Cost Averaging (DCA) เพื่อเพิ่มวินัยการลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้ โดยที่กระบวนการทำงานทุกขั้นตอนของ Robo-advisor

รวมทั้งมีความ น่าเชื่อถือ เนื่องจากถูกสร้างจากโมเดลทางการเงินซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งขั้นตอนการทำ Asset Allocation และการคัดเลือกกองทุนรวมมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากเว็บไซต์ของบริษัท

ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า แอพพลิเคชั่น odini ถือเป็นตัวแรกในตลาดทุน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวัน หรือว่าจะเป็นในส่วนของตลาดทุน หากย้อนกลับไปดูสถิติประชากรไทย 70 ล้านคน ปัจจุบันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ราว 30-40 ล้านคน ซึ่งคนไทยส่วนใช้เทคโนโลยีผ่าน สมาร์ทโฟน” 

โดยปัจจุบันชีวิตไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ใช้โซเชียวมีเดียจากสถิติเราใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 9.38 ชม. และใช้โซเชียลมีเดียว 3.1 ชม. แสดงให้เห็นว่าคนไทยหาข้อมูลและใช้โซเชียวมีเดียมาก แต่ปัจจุบันการใช้งานของคนไทยไม่ได้อยู่แค่การหาข้อมูล แต่ในตลาดทุนเรื่องของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยกตัวอย่าง การซื้อขายหลักทรัพย์และการซื้อขายกองทุน ในปัจจุบันในเมืองไทย จำนวนบัญชีการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 2.2 ล้านบัญชี มีการเปิดใช้การซื้อขายผ่านประมาณ 80%

ปัจจุบันตัวเลขการเปิดบัญชีกองทุนราว 5.4 ล้านบัญชี ซึ่งในอนาคตคนไทยก็จะใช้เทคโนโลยีในการหาข้อมูล และส่งคำสั่งซื้อขายมากขึ้น ในปัจจุบันในวงการตลาดเงินตลาดทุนการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวมมากขึ้น

-------------------------------

คนรุ่นใหม่ฮิตนวัตกรรมลงทุน

ชลเดช เขมะรัตนา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด กล่าวว่า แอพพลิเคชั่น odini เป็น Robo-advisor ที่ช่วยให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ ง่ายภายใต้แนวคิด ลงทุนง่าย ได้ทุกคน ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันพร้อมเปิดบัญชีได้อย่างสมบูรณ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบบจะลงทุนให้แบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก

โดยเน้นความ สะดวก ผูกบัญชีเข้ากับระบบ Mobile Banking ของธนาคารชั้นนำที่มีอยู่แล้วได้ทันที ช่วยให้ลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งสามารถตั้งเงื่อนไขลงทุนรายเดือนแบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มวินัยการลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้ โดยการทำงานทุกขั้นตอนของ Robo-advisor มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นโมเดลทางการเงินซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

สำหรับ กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งานประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่ยังไม่เคยลงทุนมาก่อน เนื่องจากมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องยุ่งยากและไกลตัว 2. กลุ่มที่เคยลงทุนมาบ้าง แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดวินัยการลงทุน และ 3. กลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเงินเป็นอย่างดี แต่ไม่มีเวลาดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากขาดตัวช่วยด้านการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

โดยบริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2561-2563) จะมีลูกค้าเข้าสู่ระบบผ่านทาง odini ไม่ต่ำกว่า 200,000 ราย ซึ่งมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้นำด้านโทรคมนาคมของประเทศซึ่งมีฐานลูกค้ากว่า 40 ล้านราย

นอกจากนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ยังมีดารานักแสดง คริส หอวัง บอกเล่ามุมมองต่อการลงทุน ว่า ปัจจุบันมีการลงทุนอยู่บ้างแต่ไม่มาก ซึ่งตนเองทำงานได้เงินจะแบ่งมาลงทุนในธุรกิจและในตลาดหุ้น ซึ่งแอพพลิเคชั่น odini ถือว่าเป็นการตอบโจทย์การลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนแต่ไม่มีเวลา และง่ายสามารถเข้าถึงตลาดทุนด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทเท่านั้น