ฉาวซ้ำ! ตร.พบอดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา งาบที่ดินวัด

ฉาวซ้ำ! ตร.พบอดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา งาบที่ดินวัด

ตร.พบอดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา โอนที่ดินวัดเป็นของตัวเอง ด้านสำนวนคดีคาดส่งฟ้องเป็นรายวัดก่อนสิ้นเดือนนี้ ดีเอสไอขีดเส้น 30 วัน สอบวินัยไม่ร้ายแรง-ผิดจริยธรรม

ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนกรณีคดีฟอกเงินอุดหนุนวัด ทั้งหมด 3 วัด ได้แก่ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยาวรวิหาร ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติในส่วนของวัดสามพระยาเพิ่มเติม กรณีโอนโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นชื่อของอดีตเจ้าอาวาส

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนพบข้อมูลในส่วนของวัดสามพระยาเพิ่มเติม โดยพบว่าโฉนดที่ดินหลายแปลงที่ปรากฏชื่อของอดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงิน เป็นผู้ถือครอง โดยหนึ่งในนั้นมีที่ดินใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือวัดหลวงพี่แซม เป็นที่น่าสงสัยเนื่องจากตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าที่ดินแปลงนี้ได้มาจากสีกาคนหนึ่งที่บริจาคให้แก่วัดสามพระยา เมื่อปี 2538 ขณะที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส หลังจากมรณภาพ อดีตพระพรหมดิลกได้เป็นเจ้าอาวาส ก็มีการไปทำเรื่องโอนโฉนดมาเป็นชื่อของตัวเอง โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าที่มาของการโอนชื่อที่ดินแปลงดังกล่าวถูกต้องหรือไม่

สำหรับความคืบหน้าของสำนวนคดีทั้ง 3 วัด ทางพนักงานสอบสวนกำลังเร่งรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ คาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้และจะทยอยส่งฟ้องเป็นรายวัด ทั้งนี้ ในส่วนของวัดสามพระยากับวัดสัมพันธวงศ์ จะสรุปสำนวนเสร็จก่อน เหลือเพียงวัดสระเกศ ที่มีข้อมูลหลักฐานค่อนข้างมาก คาดว่าจะใช้เวลานานกว่าวัดอื่น ทั้งนี้ ภายหลังจากส่งสำนวนฟ้องเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ทางพนักงานสอบสวนยังคงต้องคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดต่อไป เนื่องจากเกรงว่าจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ส่วนความคืบหน้าการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธีนั้น แหล่งข่าวยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ทางการประเทศเยอรมนียังไม่มีคำตอบกลับมาว่า จะส่งมอบตัวอดีตพระพรหมเมธีให้แก่ตำรวจไทยหรือไม่ หลังจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นำคณะเดินทางไปประสานงานกับตำรวจสากลที่ประเทศฝรั่งเศส โดยได้ใช้ช่องทางตำรวจสากลในการติดต่อกับตำรวจเยอรมันเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหารายนี้กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยโดยเร็วที่สุด

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่าประเทศเยอรมนีปฏิเสธที่จะส่งตัวอดีตพระพรหมเมธีกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า “ยังไม่รู้”

เมื่อถามว่า แสดงว่าทางการเยอรมันยังไม่ได้ปฏิเสธตามที่เป็นข่าว “ผมไม่รู้” ต่อข้อถามว่า หากเยอรมนีไม่อนุญาตให้ลี้ภัย จะเป็นการดีที่ไทยจะติดตามตัวได้ง่ายกว่า รองนายกฯ กล่าวว่า ยังไม่รู้ เพราะเจ้าหน้าที่เขายังไม่ได้บอก ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรกล่าวยืนยันว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปดูงานอาวุธปืนเท่านั้น ไม่ได้ไปประสานงานกับตำรวจสากล และไม่ได้ไปติดตามจับกุมอดีตพระพรหมเมธี เพราะอดีตพระพรหมเมธีไม่ได้อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

ความคืบหน้าการสอบสวน นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่โพสต์ข้อความอันเป็นเท็จว่า เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจค้น 4 วัด ประกอบไปด้วย วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วัดพิชยญาติการามวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากรสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่า พฤติการณ์ของนายพิสิฐชัย มีความผิดทางวินัยและจริยธรรมของพนักงานสอบสวน จึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย โดยเริ่มจากความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และกำชับให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วัน อย่างไรก็ตาม หากผลการดำเนินคดีอาญาชี้ว่าเป็นความผิดวินัยร้ายแรงก็จะดำเนินการให้สอดคล้องกับผลการสอบสวน

ส่วนการดำเนินคดีอาญาได้ส่งตัวนายพิสิฐชัยให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินคดีอาญา ซึ่งในระหว่างการสอบสวนดำเนินคดี ดีเอสไอได้สั่งให้นายพิสิฐชัยหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้พ้นจากกองคดีภาษีอากร มาประจำสำนักผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ดีเอสไอมีระเบียบวินัยชัดเจนคือ ผู้บังคับบัญชาต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้กระทำความผิด

พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวต่อว่า แม้ว่าการโพสต์ข้อความจะเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว แต่ดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน ซึ่งการโพสต์ข้อความอาจสร้างความสับสนให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ ดีเอสไอยังมีระเบียบว่าด้วยการให้ข่าวด้วย ที่ผ่านมาได้สอบถามนายพิสิฐชัยถึงการโพสต์ข้อความดังกล่าว โดยนายพิสิฐชัยยอมรับว่าข้อมูลที่นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ ส่วนที่เหลือเป็นการจินตนาการไปเอง

“ที่ผ่านมาในคดีที่เกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย ดีเอสไอเคยมอบหมายให้นายพิสิฐชัยเป็นผู้เจรจาและดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เนื่องจากเห็นว่านายพิสิฐชัยเคยบวชเรียนมานาน มีความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนทางสงฆ์ แต่นายพิสิฐชัยไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เนื่องจากดีเอสไอจะใช้ชุดปฏิบัติการอื่น” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว

สำหรับอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริตงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนปริยัติธรรมและงบประมาณเผยแผ่ศาสนา ตั้งแต่ปี 2557 เป็นจำนวนเงินรวมกันกว่า 150 ล้านบาท ประกอบด้วย นายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม นายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร นายบุญทวี คำมา หรือ พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ นายสมจิตร จันทร์ศรี หรืออดีตพระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และนายเทอด วงษ์ชอุ่ม หรืออดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ขณะนี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ล่าสุด เครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา และประชาชนกลุ่มปกป้องพระพุทธศาสนา ได้เดินทางไปเยี่ยม

ภายหลังการเข้าเยี่ยมโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที นายวรกร พงศ์ธนากุล ประธานเครือข่ายทนายฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การมาเยี่ยมในวันนี้ตั้งใจจะมาสอบถามเพื่อให้การช่วยเหลือในด้านคดีแก่อดีตพระทั้ง 5 คน แต่อดีตพระระบุว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดมีทนายความต่อสู้ในคดีแล้ว คงไม่รบกวนเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้เข้าไปพูดคุยกับอดีตพระทั้ง 5 ได้ให้ข้อมูลว่าที่ผ่านมาตำรวจ รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ยังไม่เคยมีการเรียกผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบสวน มีเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาที่กองปราบปรามเท่านั้น ส่วนตัวไม่ขอยืนยันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพียงแต่นำข้อมูลที่ได้รับมาให้กระจายต่อให้สังคมได้รับรู้ หากจริงตามที่อดีตพระให้ข้อมูลก็จะถือว่าการทำคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในด้านสุขภาพจากการสังเกตและพูดคุยพบว่าอดีตพระทั้งหมดยังคงมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดี ไม่มีท่าทีอิดโรย โดยบอกว่า ทางเรือนจำดูแลทั้งหมดเป็นอย่างดี

นายวรกร กล่าวอีกว่า สำหรับการร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เข้าข่ายผิดมาตรา 157 กรณีที่ผอ.พศ.มีคำสั่งส่งหนังสือถึงสำนักพุทธศาสนาจังหวัด หรือ พศจ.ทุกจังหวัด ขอข้อมูลด้านการเงินบัญชีวัด รวมถึงอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัดที่พระไม่จับเงิน และนำเข้าบัญชีวัดทันที ซึ่งเป็นหนังสือที่ออกโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ทางเครือข่ายคงจะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกองบังคับการปราบปรามเพียงแห่งเดียวก่อน ยังไม่มีแผนไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่อื่นเพิ่มเติม