สั่งด่วน 'พศจ.' ขอดูบัญชีวัดทั่วประเทศ เซ่นคดีโกงเงินทอนวัด

 สั่งด่วน 'พศจ.' ขอดูบัญชีวัดทั่วประเทศ เซ่นคดีโกงเงินทอนวัด

สำนักพระพุทธฯ สั่งด่วน "พศจ." ขอดูบัญชีวัดทั่วประเทศ ย้ำกรณีพระภิกษุสงฆ์มิต้องถือเงินสด นำเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันทีเมื่อได้รับ

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีการเผยแพร่บันทึกข้อความของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่ 0001/06036 ออกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 โดย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการพศ.ลงนามในบันทึกข้อความด่วนที่สุด เรื่อง ขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด เรียนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด (พศจ.) ใจความว่า ด้วย พศ.มีความประสงค์ที่จะขอข้อมูลจากวัดทั่วประเทศที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด กรณีที่พระภิกษุสงฆ์มิต้องถือเงินสด แต่จะนำเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันทีเมื่อได้รับ

พิษโกงเงินทอน พศ.ขีดเส้นขอดูบัญชีวัดทั่วปท. 11 มิ.ย.
 

          ในการนี้ พศ.ขอให้ พศจ.ดำเนินการสำรวจข้อมูลโดยด่วน หากพบว่าวัดใดในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด มีการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ขอให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการดำเนินการโดยให้บันทึกเป็นวิดีโอ พร้อมสรุปข้อมูลขั้นตอนและวิธีการดำเนินการ และส่งให้ พศ.ผ่านโทรสาร และอีเมล ภายในวันที่ 11 มิถุนายน หาก พศจ.ใดได้ดำเนินการสำรวจทั้งพื้นที่แล้วไม่ปรากฏว่ามีวัดที่ดำเนินการดังกล่าว ขอให้มีหนังสือแจ้งให้ทราบด้วย
 

          จากกรณีนายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า จะมีการจับกุมเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาติฯ และคาดว่ามีวัดบวรฯ กับวัดราชสิทธิฯ ด้วย ในคดีเงินทอนวัดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

พิษโกงเงินทอน พศ.ขีดเส้นขอดูบัญชีวัดทั่วปท. 11 มิ.ย.
นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร 
 

          ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 มิถุนายน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยถึงกรณีดังกล่าวว่า การโพสต์ข้อความของนายพิสิฐชัย เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ ถึงแม้ภาพในรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กของนายพิสิฐชัยจะใส่เครื่องแบบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอก็ตาม ทั้งนี้ทราบว่าตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้เชิญนายพิสิฐชัยเข้าให้ข้อมูลถึงที่มาของกระแสข่าวดังกล่าว และวัตถุประสงค์ในการโพสต์ข้อความดังกล่าว

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิสิฐชัยเป็นพนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษกองสำนักคดีภาษีอากรดีเอสไอ ส่วนสำนวนคดีเงินทอนวัด สำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอเป็นผู้รับผิดชอบ หลังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) มอบหมายให้ดีเอสไอตรวจสอบงบประมาณการใช้จ่ายของวัดทั่วประเทศ อีกทั้งนายพิสิฐชัยได้ถูกมอบหมายให้เป็นหนึ่งในชุดเจรจากับพระวัดธรรมกายเมื่อครั้งปฏิบัติการจับตัวพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อปีที่ผ่านมา

พิษโกงเงินทอน พศ.ขีดเส้นขอดูบัญชีวัดทั่วปท. 11 มิ.ย.
 

          ต่อมาเวลา 13.50 น. วันเดียวกัน คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ออกแถลงการณ์ “DSI สอบข้อเท็จจริง กรณีเจ้าหน้าที่ให้ข่าวเกี่ยวกับการดำเนินคดีเงินทอนวัด” โดยระบุว่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ กรณีนายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าจะมีการจับกุมดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด ซึ่งการดำเนินคดีอาญาในเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมนั้น

          วันนี้ (10 มิ.ย.) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากรซึ่งเป็นต้นสังกัดของนายพิสิฐชัย รายงานข้อเท็จจริงมาเพื่อพิจารณาดำเนินการแล้ว เนื่องจากคดีดังกล่าวดีเอสไอมิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องแม้จะเป็นการเขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่นายพิสิฐชัย เป็นข้าราชการระดับสูงของดีเอสไอ อาจทำให้สังคมสับสนและเกิดความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้องได้

          อนึ่งในส่วนที่มีข่าวว่านายพิสิฐชัยได้รับแต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการของมหาเถรสมาคม (มส.) นั้น ได้มอบหมายให้กองคดีภาษีอากรดีเอสไอ สอบถามในประเด็นดังกล่าวไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว จึงประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยทั่วกัน

พิษโกงเงินทอน พศ.ขีดเส้นขอดูบัญชีวัดทั่วปท. 11 มิ.ย. แฟ้มภาพ
 

          ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 10 มิถุนายน พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนนี้ยืนยันว่ายังไม่มีข้อมูลการกระทำผิดเกี่ยวกับวัดดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้ บก.ปปป.ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าวยังไม่ได้รับการเข้าร้องทุกข์แจ้งความจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือเอาผิดผู้ที่กระทำผิดในคดีเงินทอนวัดลอตที่ 4 อีกทั้งขั้นตอนการดำเนินการคดีเงินทอนวัดลอตที่ 4 ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งการที่นายพิสิฐชัย นำข้อมูลเหล่านี้มาเผยแพร่ก็ไม่ทราบว่าไปเอาข้อมูลมาจากที่ใด

          รายงานข่าวแจ้งว่ากรณีที่มีการเชิญตัวนายพิสิฐชัยมาให้ปากคต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ในช่วงบ่ายวันนี้ (10 มิ.ย.) เกิดจากกรณีที่โพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงวัดดังหลายแห่งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัด เบื้องต้นพบว่ามีการเชิญตัวมาจริง โดยเป็นการเชิญตัวเพื่อมาให้ปากคำชี้แจงถึงที่ไปที่มาเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวและข้อมูลเที่นำมาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้นได้มาจากที่ใดเนื่องจากเป็นการทำให้สังคมเกิดความสับสน

          อย่างไรก็ตามเบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายพิสิฐชัยแต่อย่างใดเนื่องจากกรณีนี้ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังดีเอสไอให้ทราบถึงพฤติกรรมของข้าราชการในสังกัดแล้ว จากนั้นได้ทำประวัติก่อนปล่อยตัวกลับไป อย่างไรก็ตามหากวัดใดได้รับความเสียหายก็สามารถเข้าแจ้งความดำเนินคดีได้ทันที

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการปล่อยข่าวว่าจะมีการตรวจค้นวัดเพิ่มเติมนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยชุดสืบสวนกองปราบฯ ได้ตรวจสอบในทางลับพบว่ากลุ่มผู้ที่ปล่อยข่าวนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาของวัดสระเกศฯ โดยปล่อยให้กลุ่มผู้สื่อข่าวและผ่านสังคมออนไลน์ซึ่งข้อความส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเท็จและทำให้พระผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับความเสียหายเพราะขณะนี้ในส่วนของกองปราบฯ ยังไม่มีการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัดที่เข้าค้นและจับกุมตัวผู้ต้องหาไปแล้ว ทั้งนี้คาดว่าการปล่อยข่าวดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อทำให้สังคมปั่นป่วนสับสนและต้องการที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม ขณะนี้กองปราบฯ กำลังพิจารณาข้อกฎหมายว่าจะดำเนินคดีต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวในข้อหาใดได้บ้างซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนรู้ตัวแล้ว

          สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ศาลจังหวัดนครพนมได้ออกหมายจับ 5 ผู้ต้องหาประกอบด้วย นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี สีกาคนสนิทอดีตพระพรหมเมธี นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี เป็นคนที่คอยให้การช่วยเหลือ ส่วนอีก 3 คน ประกอบด้วย นางจันทนา หรือ จันตนา รัตนวงศ์ นางจิตติมา ลัตะมะวง ลูกสาว และนายน้อย รัตนวงศ์ ลูกชาย ทั้ง 3 คนเป็นชาวลาว โดยชุดสืบสวนได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้นำหมายจับใส่เข้าไปในระบบตรวจคนเข้าเมืองแล้ว หากเดินทางกลับเข้ามาเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการจับกุมและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.เมืองนครพนม ได้ทันที

          รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่านายพีรวิช ศรีศรัทธา 1 ใน 5 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในครั้งนี้ด้วยนั้น พบว่าเป็นคนเดียวกันกับนาย “โค๊ต” หลานของอดีตพระพรหมเมธี ที่เดินทางไปประเทศเยอรมนีด้วยกันกับอดีตพระพรหมเมธี ชุดสืบสวนสอบสวนคาดว่าอีกไม่นาน นายพีรวิชน่าจะเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากข้อหาความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 189 ที่ระบุว่าผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด เพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม เป็นคดีลหุโทษที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นโทษที่ไม่ร้ายแรงและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่ประเทศเยอรมนีต่อไปอีก

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีตรวจสอบการทุจริตคดีเงินทอนวัด โดยมีข้อมูลพบวัดที่เข้าข่ายทุจริตจำนวน 30 วัด แบ่งเป็นวัดในพื้นที่ภาคเหนือ 15 วัด และภาคกลาง 15 วัด ในจำนวนนั้น 3 วัด อยู่ในพื้นที่ จ.พิจิตร ประกอบด้วย วัดต้นชุมแสง อ.ตะพานหิน วัดหนองเต่า อ.บางมูลนาก และวัดธงไทยยาราม อ.ตะพานหิน โดยทั้ง 3 วัดพบพฤติกรรมการโอนเงินวัดละ 2 ล้านบาทผ่านบัญชีวัดทั้ง 3 แห่ง

          ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ติดตามข้อมูลของวัดทั้ง 3 แห่งที่มีรายชื่อวัดเข้าข่ายทุจริตเส้นทางการเงินที่มีการโอนเงินผ่านทางวัดดังกล่าว โดยวัดทั้ง 3 แห่งระบุมีเงินโอนผ่านบัญชีทางวัดจากการทำโครงการโครงการศึกษาดูงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ประเทศอินเดีย โดยเงินที่โอนเข้าวัดทั้งหมดทางวัดได้โอนต่อไปยังเจ้าหน้าที่โครงการศึกษาดูงานเพื่อใช้จ่ายในโครงการไม่ใช่เงินส่วนแบ่งให้แก่บุคคล

พิษโกงเงินทอน พศ.ขีดเส้นขอดูบัญชีวัดทั่วปท. 11 มิ.ย.
 

          พระครูวิวิธธวัชชัย เจ้าอาวาสวัดธงไทยยาราม ระบุว่า วัดได้เข้าร่วมในโครงการศึกษาดูงานที่ประเทศอินเดีย ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการชักชวนอดีตเจ้าคณะอำเภอชนแดนและเจ้าอาวาสวัดลาดแค จ.เพชรบูรณ์ โดยหลังได้รับคำชวนทางวัดได้ปรึกษากับคณะกรรมการวัดในโครงการศึกษาดูงานที่คณะสงฆ์และกรรมการวัดร่วมเดินทางไปด้วยจึงส่งให้หมายเลขบัญชีธนาคารเจ้าหน้าที่โครงการ ซึ่งหลังจากที่เงินจำนวน 2 ล้านบาทถูกโอนผ่านทางบัญชีของวัดในวันที่ 14 ธันวาคม 2558 จากนั้นทางวัดจึงโอนเงินทั้งหมดส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่โครงการในวันที่ 15 ธันวาคม 2558 เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางศึกษาดูงานที่ประเทศอินเดีย โดยการไปศึกษาดูงานที่มีพระสงฆ์และกรรมการวัดบางส่วนยังร่วมนำปัจจัยส่วนหนึ่งที่คณะโครงการจัดทำผ้าป่าเพื่อพัฒนาวัดที่ประเทศอินเดีย ซึ่งไม่ใช่เงินทอนวัดตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย

          ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและหลักฐานวัดทั้ง 3 แห่งใน จ.พิจิตร ที่เข้าข่ายทุจริต โดยเฉพาะเส้นทางการเงินที่ผ่านกับทางวัดเพื่อนำไปประกอบการสืบสวนสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป