ชง 'ปปช.ภาค8' สอบ 'ผอ.-5ครู' ผิดวินัยร้ายแรง ปมทุจริตร.ร.บ้านท่าใหม่

ชง 'ปปช.ภาค8' สอบ 'ผอ.-5ครู' ผิดวินัยร้ายแรง ปมทุจริตร.ร.บ้านท่าใหม่

ลุยสอบวินัยร้ายแรง "ผอ.บ้านท่าใหม่" หลังผลสืบชี้ชัดมีมูลผิด 5 ข้อ ขณะที่ป.ป.ช.เผยยังมีครูเข้าข่ายอีก 4-5 คน มีความผิดร่วมด้วยจะด้วยเจตนาหรือไม่ เตรียมนำเสนอตั้งอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ภาค 8 สัปดาห์หน้า

จากกรณีมีผู้เผยแพร่คลิป โรงเรียนบ้านท่าใหม่ ม.17 ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ให้เด็กนักเรียนอนุบาลกิน “ขนมจีนคลุกน้ำปลา” ต่อมามีคำสั่งย้ายผอ.โรงเรียนดังกล่าวออกจากพื้นที่ไปช่วยราชการที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สุราษฎร์ธานี เขต2 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.61 ที่ผ่านมา และเขตพื้นที่ฯร่วมสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ประจำ จ.สุราษฎร์ธานี ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนให้ตรวจสอบความผิดของ ผอ.โรงเรียน

(9 มิ.ย.) พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านท่าใหม่ วันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้หารือผอ.สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2 ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และคณะกรรมการการสืบข้อเท็จจริง

1_12

โดยคณะกรรมการสืบฯรายงานด้วยวาจาว่า จากการตรวจสอบประเด็นต่างๆ ที่มีข้อร้องเรียนพบว่ามี 5 ประเด็นที่มีมูลและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง คือ 1.เรื่องโครงการอาหารกลางวันไม่ได้คุณภาพ “ขนมจีนกับน้ำปลา” 2.การสร้างถนนคอนกรีตภายในโรงเรียนระยะทาง 100 เมตร ใช้เงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนจำนวน 100,000 บาทในการดำเนินการ แต่ปรากฏว่าเบิกเงินทั้งหมด 4 รายการ 3.การจัดซื้อเสาไฟฟ้า 8 ต้นแต่ปักจริง 6 ต้น 4.ขายน้ำอัดลมให้เด็ก ซึ่งผิดระเบียบโดยเงินนำไปใช้ส่วนตัว และ5.ขายปาล์มน้ำมันโรงเรียนนำเงินไปใช้ส่วนตัว

โดยจากนี้คณะกรรมการสืบฯจะเร่งทำสรุปสำนวณคาดว่าภายในวันที่ 11 หรือ 12 มิ.ย. และส่งรายงานอย่างเป็นทางไปยัง ศธจ.สุราษฎร์ธานี เพื่อพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ผอ.โรงเรียนบ้านท่าใหม่ ซึ่งกรณีนี้สามารถใช้มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ซึ่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ หรือจะแค่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ศธจ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งโทษวินัยร้ายแรง คือ ปลดออก หรือ ไล่ออก

อย่างไรก็ตาม ทราบว่าทางสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจ.สุราษฎร์ฯ มีการสอบปากคำครูในประเด็นต่างๆ เช่น กรณีตรวจรับเสาไฟ ซึ่งให้ครูผู้หญิงรับผิดชอบทั้งที่ไม่มีความรู้และครูไม่สามารถขัดคำสั่งได้ต้องดำเนินการ ซึ่งกรณีนี้ สพฐ. บอกว่าอาจจะให้มีการกันครูเป็นพยานเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนต่อไป ทั้งนี้ ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการทราบแล้ว

นายพล ศรัทโธ ผอ.ป.ป.ช. ประจำจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หลังจากได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 10 ปาก เป็นครูและบุคลากรของโรงเรียน ที่มีหลักฐานทางเอกสารชัดเจนมีผู้ร่วมด้วยและเข้าข่ายผิดวินัยเช่นเดียวกับผอ.โรงเรียนเกือบทั้งหมดที่มีการทำเอกสารย้อนหลัง ครูที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือบัญชีต่าง ๆ ประมาณ 4- 5 คน แต่ทั้งนี้ต้องดูว่ากระทำการด้วยเจตนาหรือไม่ หรือร่วมแบบถูกบังคับให้กระทำ ที่เป็นประเด็นคือรายการอาหารที่ซื้อแบบวันต่อวันแต่ไม่มีรายการตามที่ขอซื้อขอจ้าง เบื้องต้นเท่าที่ทราบคนที่ทำถูกสั่งการไม่ได้เต็มใจทำ ส่วนพยานแวดล้อมรอบนอกจะต้องมีการสอบเช่นกันคือในส่วนของผู้ค้าหรือผู้ขาย ว่าร่วมด้วยหรือไม่ จากนั้นนำหลักฐานที่ได้ทั้งหมดสรุปเสนอต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 8 ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด

นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการด้านโภชนาการ ที่ปรึกษากรมอนามัย กล่าวว่า อยากให้ใช้เรื่องขนมจีนคลุกน้ำปลาเป็นโอกาสผลักดันเรื่องคุณภาพอาหารอย่างเป็นระบบ โดยขอให้ร่วมผลักดัน 5 ประเด็น คือ 1.การผลักดันให้ทุกโรงเรียนใช้ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ หรือ Thai School Lunch ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ดีมากช่วยควบคุมคุณภาพอาหาร คำนวณวัตถุดิบที่ใช้จริงป้องกันการโกงได้ 2.วิเคราะห์รูปแบบของอาหารกลางวัน โดยเฉพาะรูปแบบที่เปิดประกวดราคาที่ไม่มีการกำหนดมาตรฐานหรือเกณฑ์ควบคุมคุณภาพ แต่ใช้ราคาเป็นตัวตั้ง 3.การจัดทำระบบติดตามที่รัดกุมและมีประสิทธิ 4.เสนอให้มีนักโภชนาการประจำตำบลละ 1 คนเพื่อดูแลอาหารในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยนำร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อม และ5.ส่งเสริมให้พ่อแม่และชุมชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพอาหารให้ดีขึ้น