(สกู๊ป) "เยอรมนี"กับภารกิจป้องกันแชมป์โลก

(สกู๊ป) "เยอรมนี"กับภารกิจป้องกันแชมป์โลก

สำหรับทีมชาติเยอรมนีถือเป็นอีก 1 ทีมเต็งสำหรับการคว้าแชมป์ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาคือแชมป์โลก 4 สมัย และเป็นแชมป์เก่า

     โดยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ถือเป็นแชมป์โลกครั้งล่าสุดที่ทัพ “อินทรีเหล็ก” รอคอยมาอย่างยาวนาน ถึง 24 ปี โดยสมัยแรกในปี 1954 ตามด้วยสมัยที่ 2 ในปี 1974 และครั้งสุดท้ายทำได้ในปี 1990 ซึ่งทั้ง 3 ครั้ง ยังใช้ชื่อ “เยอรมันตะวันตก”

    ขณะที่การแข่งขันปีนี้พวกเขาถูกคาดหมายว่าจะเป็นทีมเต็งอันดับ 2 ที่มีสิทธิ์คว้าแชมป์โลกไปครองรองจาก บราซิล แชมป์โลก 5 สมัย อย่างไรก็ตามด้วยศักยภาพของนักเตะ, ประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ และชื่อชั้นของโค้ช ทำให้ เยอรมัน ถือเป็นอีกทีมที่น่ากลัว ซึ่งพวกเขาก็มีเป้าหมายเดียว คือ การป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ให้จงได้

รายชื่อนักเตะ
      สำหรับในขณะนี้ เยอรมนี ได้ประกาศรายชื่อนักเตะ 23 คนสุดท้ายที่ได้ไปชิงชัยในศึกเวิลด์ คัพ ที่รัสเซีย หลังจากก่อนหน้านี้มีการประกาศรายชื่อเบื้องต้นมา 27 คน โดยไม่มีชื่อของ เลรอย ซาเน สตาร์เกมรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี และมาริโอ เกิตเซ ฮีโร่ผู้ทำประตูชัยในรอบชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งโยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ก็ถูกกระแสวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตัวนักเตะไปแข่งขันในฟุตบอลโลกครั้งนี้
ผู้รักษาประตู : มานูเอล นอยเออร์, มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเกน, เควิน ทรัปป์
กองหลัง : มัตติอัส กินเตอร์, โยนาส เฮ็คเตอร์, มัตส์ ฮุมเมลส์, โจชัว คิมมิช, เจอโรม บัวเต็ง, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, นิคลาส ซูเล, มาร์วิน แพลตเทนฮาร์ดต์
กองกลาง : ลีออน กอเร็ตซ์ก้า, อิลคาย กุนโดกัน, ซามี่ เคดิรา, โทนี่ โครส, เมซุส โอซิล, เซบาสเตียน รูดี, ยูเลี่ยน บรันด์ท, ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร
กองหน้า : มาร์โก รอยส์, ติโม แวร์เนอร์, มาริโอ โกเมซ, โธมัส มุลเลอร์

โค้ช : โยอาคิม เลิฟ
    ตำแหน่งแชมป์โลก 1 สมัย (2014) และแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ อีก 1 สมัย (2017) กับทีมชาติเยอรมันคงเป็นเครื่องการันตีถึงฝีไม้ลายมือ และความสำเร็จของกุนซือรายนี้ได้เป็นอย่างดี
     ต้องยอมรับว่าแม้ทีม “อินทรีเหล็ก” จะมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง และประกอบด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่หากขาดผู้นำ หรือแผนการเล่นที่ดีพวกเขาคงจะไม่ใชทีมชาติเบอร์ต้นๆของโลกเหมือนในปัจจุบันได้ ซึ่งต้องยกเครดิตเหล่านี้ให้กับ เลิฟ ซึ่งเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ปี 2008 โดยเขาพัฒนาให้แชมป์โลก 4 สมัยที่ศักยภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องวินัยของนักเตะ และแผนการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ จนส่งผลให้คว้าอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ด้วยการพ่ายต่อ สเปน 0-1 ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในปี 2014 ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ในช่วงต่อเวลา
    โดยในรอบคัดเลือกของปีนี้ เยอรมัน ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยผลงานสุดหรู หลังคว้าแชมป์กลุ่มซี โซนยุโรป ด้วยการทำสถิติเก็บ 30 แต้มจาก 10 นัด นั่นหมายความว่า พวกเขาชนะรวดทั้ง 10 เกม พร้อมทำประตูไปได้ถึง 43 ลูก และเสียเพียง 4 ลูกเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดของทั้ง 32 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมาได้ ซึ่งผลงานที่สุดยอดดังกล่าวเกิดจากทีมที่มีความสามัคคี และมีระเบียบวินัยสูง
     แม้จะฝากผลงานไว้กับทีมชาติอย่างยอดเยี่ยม แต่ก็มีข่าวลือออกมาตลอดว่าเจ้าตัวเตรียมอำลาตำแหน่งเฮดโค้ชของเยอรมนีในช่วงเร็วๆนี้ เหตุเจ้าตัวยังไม่พิสูจน์ตัวเองในการคุมทีมสโมสรในระดับท็อปของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้เขารับคุมทัพแต่ทีมเล็กๆ เช่น เฟเนเบาห์เช และออสเตรีย เวียนนา ซึ่งหลายสื่อคาดกันว่า เจ้าตัวจะอำลาทีม "อินทรีเหล็ก" หลังจบเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ เพื่อไปจับงานคุมทีมชาติบ้าง ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ เรอัล มาดริด ต้องการเทรนเนอร์ระดับโลกคนใหม่เพื่อเข้าไปสานความสำเร็จต่อไป
      ทำให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ อาจจะเป็นการคุมทัพครั้งสุดท้ายของเทรนเนอร์วัย 58 ปี กับทีมชาติเยอรมนี ดังนั้นเชื่อว่าเจ้าตัวจะต้องเน้นในทุกรายละเอียด ทั้งเรื่องแผนการเล่น, การศึกษาคู่แข่ง รวมไปถึงการส่งผู้เล่นลงสนามในแต่ละแมตช์เพื่อทำให้ทีมประสบความสำเร็จมากที่ในเวิลด์ คัพ ครั้งนี้

สตาร์ประจำทีม : เมซุต โอซิล
    ถ้าจะให้เลือกนักเตะที่เป็นตัวชูโรงของทีมชาติเยอรมนีขึ้นมาสักคนคงจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากทัพ “อินทรีเหล็ก” เน้นการเล่นแบบเป็นระบบ ทำให้แข้งทุกคนในทีมมีความสำคัญเท่ากัน ซึ่งหากขาดตำแหน่งใดไปก็เหมือนทีมขาดฟันเฟืองที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างไรก็ตามหากจะให้ยกผู้เล่นที่สามารถพลิกเกม และเป็นหัวใจในเกมรุก
    ภายใต้การคุมทีมของ โยอาคิม เลิฟ มาตั้งแต่เจ้าตัวเข้ามารับงานคุมทีมชาติ ซึ่งก็คือ เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์จอมทัพจาก อาร์เซนอล ซึ่งมีดีกรีเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของเยอรมัน 5 สมัยจาก 7 ปีหลังสุด
    สำหรับแข้งวัย 29 ปีรายนี้ เริ่มเล่นทีมชาติตั้งแต่ชุด ยู-17 ปี, ชุดยู-21 จนมาถึงชุดใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวก็ลงช่วยทีมในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์สำคัญๆมาแล้วหลายรายการ ทั้ง ฟุตบอลโลก 2010, ยูโร 2012, ฟุตบอลโลก 2014 และยูโร 2016 ทำให้เขาถือเป็นหนึ่งผู้เล่นประสบการณ์สูงที่เป็นแข้งความหวังของเพื่อนร่วมทีม และแฟนบอล
    โดยในฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของเขากับทีมชาติครั้งนี้ แน่นอนว่า โอซิล จะต้องรับบทผู้เล่นที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างกองกลาง และกองหน้า ในการทำเกม นอกจากนั้นเขายังสามารถเป็นเพชรฆาตในการเบิกสกอร์ให้กับ ด้วยการทำไปทำไป 23 ประตูจาก 90 นัด ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับนักเตะในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์
    แม้ในฤดูกาลที่ผ่านมาเขาจะทำผลงานได้ไม่ดีนักกับทีม “ปืนใหญ่” หลังไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ใดๆได้ อย่างไรก็ตามในนามทีมชาติเชื่อว่า จอมทัพเบอร์ 10 ผู้นี้ จะงัดฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งด้วยศักยภาพของทีม รวมถึงความรู้ใจของเหล่าผู้เล่นที่ลงสนามเคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน

     โดยในฟุตบอลโลกครั้งนี้ต้องมาดูกันว่า เยอรมนี ที่อยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับ เม็กซิโก, เกาหลีใต้ และสวีเดน จะสามารถบรรลุภารกิจที่พวกเขาตั้งเป้าไว้ นั่นก็คือ การป้องกันแชมป์โลก ได้สำเร็จหรือไม่?