บีเอ็มดับเบิลยู เอ็ม 4 “ดุดัน” ทั้งรูปร่างและอารมณ์
บีเอ็มดับเบิลยู เอ็ม 4 คูเป้ มีค่าตัว 8,439,000 บาท หรือหากซื้อรวมแพคเกจ บีเอสไอ ราคาอยู่ที่ 8,909,000 บาท ไม่แรงเกินไปสำหรับคนที่มีกำลังซื้อ และอยากได้รถสปอร์ตที่ขับสนุก และที่สำคัญขับได้ทุกวัน ไม่ใช่จอดประดับโรงรถ
เอ็ม 4 มีพื้นฐานมาจาก ซีรีส์ 4 คูเป้ แต่ในส่วนของโครงสร้างตัวถังรถปรับเปลี่ยนหลายอย่างทั้งเพื่อมุมมอง และด้านเทคนิค เช่น ช่องดักลมด้านหน้าที่ใหญ่ขึ้น รูปทรงเหลี่ยมลบมุม และออกแบบเหมือนกับมีฝาปิดทำให้นึกถึงฝาปิดเคร่ื่องยนต์เจ็ทของเครื่องบินบางรุ่นที่บินเร็วมาก จนต้องปิดกั้นอากาศไม่ให้ไหลเข้าเครื่องยนต์เร็วเกินไป
ฝากระโปรงหน้าทรงโค้ง นูนกลาง แต่เติมรายละเอียดของเส้นที่คมกริบ บ่งบอกความพร้อมที่จะตัดอากาสเมื่อรถพุ่งไปข้างหน้า ขณะที่บริเวณตรงกลาง ใกล้กับกระจกบังลมหน้า ยกสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่ออำนวยให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน คือ เครื่องยนต์ และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพื้่นที่ทำงานที่สะดวกสบายพร้อมรีดพลังออกมาใช้งานอย่างเต็มที่
หลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และเลือกที่จะปล่อยเปลือยๆ แบบนั้น ไม่มีการลงสี เป็นท็อปปิ้ง แต่ไม่ใช่ท็อปปิ้งแบบหวานเลี่ยน มันออกแนวโหดให้รู้สึกได้ และไม่ใช่เฉพาะมุมมองที่ให้อารมณ์สปอร์ตเท่านั้น แต่หลังคาที่ลดน้ำหนักลงไปได้หลาย กก.มีผลเชิงเทคนิคสำหรับที่มีสมรรถนะสูงอย่างมาก มันช่วยกดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน และการควบคุมรถได้ดีขึ้น
ด้านท้ายมาพร้อมกับท่อไอเสีย 2 คู่ รวม 4 ท่อ แต่ผมแอบสงสัยว่าหากออกแบบไม่ต้องกลมดิก แต่มีส่วนเหลี่ยมสันอยู่บ้าง เพื่อให้ล้อไปช่องดักลมด้านหน้าจะเป็นอย่างไร
เอ็ม 4 คูเป้ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ขนาด 2,979 ซีซี เทคโนโลยี เอ็ม ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ และที่ฝาถังน้ำมันขนาด 52 ลิตร มีคำแนะนำว่าควรใช้น้ำมัน เชลล์ วี เพาเวอร์
เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 431 แรงม้าที่ 5,500-7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตรที่ 1,850-5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด เอ็ม ระบบคลัทช์คู่ พร้อมไดรฟ์ โลจิก ไปยังยางขนาด 255/35 R 19 ที่ด้านหน้า และ 275/35 R19 ที่ด้านหลัง
ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. แน่นอนมันเป็นความเร็วที่ถูกจำกัดไว้โดยผู้ผลิต และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที
โหมดขับขี่มีให้เลือกทั้งแบบ คอมฟอร์ท สปอร์ต และสปอร์ต พลัส ซึ่งจะใช้โหมดไหนก็สนุกได้หมด และหากขับขี่ทั่วไป คอมฟอร์ทก็เพียงพอ สนุกได้แล้ว และการใช้เกียร์ คาไว้ D อย่างเดียวก็สนุกได้เช่นกัน แม้จะมีระบบเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง แต่ผมว่าไม่จำเป็น การใช้คันเร่งเป็นตัวควบคุม โดยที่สมองกลรับคำสั่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ ทำได้แม่นยำ ลื่นไหล จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่อง
ผมขับ เอ็ม 4 คูเป้ ทั้งในเมืองอย่างกรุงเทพ ไปกลับที่ทำงาน ขึ้นทางด่วน เข้าซอย ทำได้ปกติ แม้ความสูงใต้ท้องรถจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่มีผลอะไรขึ้นที่จอดรถออฟฟิศ หรือ เข้าห้างฯ ได้สบายๆ และใช้อัตราเร่งที่โดดเด่น ซอกแซกไปตามพื้นที่ว่างบนถนนได้อย่างรวดเร็วทันใจ
จะดูแตกต่างบ้างก็เมื่อเข้าซอยบ้าน แล้วมีคนหันมามองนั่นแหละครับ เพราะเสียงคำรามที่ปลายท่อที่ดุดัน และตั้งใจให้ดังมากกว่าปกติ มันชวนให้ใครๆ ต้องหันมาดู แต่ไม่ใช่เพราะรำคาญนะครับ
แม้ว่าเมื่ออยู่นอกรถจะได้ยินเสียงดุๆ ของท่อไอเสีย แต่เมื่อเข้ามานั่งภายในรถแล้วพบว่าการเก็บเสียงทำได้ดี ได้ยินเสียงท่อบ้างเมื่อกดคันเร่ง ขณะทีเ่สียงอื่นๆ ทั้งเสียงท่อเสียงลมมีน้อย แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม ทำให้มีสมาธิในการขับขี่ที่ดี
การออกแบบภายในห้องโดยสาร แม้จะเป็นเอ็ม แต่โดยรวม ก็ยังมีอารมณ์ร่วมกับรถรุ่นปกติอื่น จะแตกต่างก็ตรงรายละเอียดบางอย่าง เช่น สัญลักษณ์ เอ็ม ซึ่งรวมถึงที่เบาะนั่ง ซึ่งเรืองแสงเป็นลูกเล่นให้ตื่นตายามค่ำคืน
เบาะนั่งได้ทั้งนั่งสบาย และโอบกระชับลำตัว ช่วยให้ควบคุมได้ดีขึ้น มาพร้อมกับลายฉลุ สายเข็มขัดนิรภัยตกแต่งลวดลายเอกลักษณ์สไตล์ เอ็ม
ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง ไม่ใหญ่นัก แต่ออกแบบให้นั่งได้สบาย การที่มันกระชับลำตัวช่วยได้ในเรื่องนี้ การเข้าออก ก็ต้องอาศัยการมุดเล็กน้อย เพราะป็นรถ 2 ประตู
แต่คนที่ชอบนั่งรถนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบนัก เพราะช่วงล่างที่หนักไปทางอารมณ์สปอร์ต ให้ความรู้สึกกระด้างมากกว่า แม้จะเป็นถนนเรียบๆ ก็ตาม
จอมอนิเตอร์แบบลอยตัว เห็นได้ชัดเจน ระบบ แสดงผลบนกระจกบังลมหน้า หรือ HUD มีประโยชน์มากกับการขับขี่แบบเร็วๆ เพราะไม่ต้องละสายตาจากเส้นทาง
เอ็ม 4 มีขนาดความยาวตัวถัง 4,671 มม. ความกว้าง 1,870 มม. และสูง 1,383 มม. พื้นที่บรรทุกของใต้ฝากระโปรงท้าย 445 ลิตร ถือว่าไม่น้อย แม้จะดูเล็กๆ จากภายนอก แต่การออกแบบให้ลึกเข้าไป ช่วยให้มันมีพื้นที่กว้างพอควร และการเปิดปิด ฝาท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า แค่แหย่เท้าใต้ท้องรถ ก็จะเปิดเองอัตโนมัติ
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากข้อมูลผู้ผลิตคือ 12.3 กม./ลิตร แต่การขับของผม ซึ่งมีทั้งจราจรหนาแน่น และการใช้ความเร็วพอควร แบบต่อต่อเนื่อง ได้ประมาณ 11 กม./ลิตร ถือว่า น่าพอใจครับ
มี เอ็ม อยู่ในมือ อย่างน้อยก็ต้องหาพื้นที่ให้มันได้ปลดปล่อยบ้าง ผมเลือกเดินทางไปต่างจังหวัดไม่ไกลนัก คือ สุพรรณบุรี ซึ่งแน่นอนว่าถนนเส้นนี้ก็เหมือนกับเส้นอื่นๆ คือ มีรถทุกเลน ไม่ว่าช้าหรือเร็ว เหมือนกับต้องการให้ลองอัตราเร่ง เบรก และเลนเชนจ์ไปในตัว
ซึ่งทั้งหมดนี้ เอ็ม 4 ทำได้ดี อัตราเร่งเหลือเฟือ กดคันเร่งไม่มากนัก อาการหลังติดเบาะเกิดขึ้นชัดเจน การทรงตัวเมื่อเปลี่ยนช่องทางทำได้ดี รถรักษาระดับขนานไปกับพื้นถนน ไม่มียกมีโยนตัว ขณะที่พวงมาลัยแม่นยำ ช่วยให้ไม่เหนื่อยกับการขับแบบนี้ และน้ำหนักดีทีเดียว ไม่เบา แต่ก็ไม่หนักเกินไป
เส้นทางจากลาดบัวหลวงเข้า อ.สองพี่น้อง เป็นทางใหญ่ และมีช่วงโล่งมากกว่า และมองเห็นด้านข้างถนนได้ไกลกว่าในบางช่วง ดังนั้นผมขออนุญาตลองกำลังเครื่องยนต์ช่วงสั้่นๆ ด้วยการค่อยๆ กดคันเร่งลงไปนิ่มๆ แต่กดเรื่อยๆ ไม่รู้เข็มไมล์เร่งรีบไปไหน เพราะครู่เดียว มันกวาดขึ้นไปที่ 230 ก่อนที่ผมจะผ่อนคันเร่ง เพราะเห็นว่าด้านหน้ามีรถเปะปะอยู่หลายเลน แม้คำนวณด้วยตาแล้วยังห่างอยู่หลายร้อยเมตรก็ตาม
มีช่วงยูเทิร์น เมื่อเห็นมีจังหวะพอควร ผมกดคันเร่งเพื่อพารถออกจากพื้นที่อันตรายโดยเร็วที่สุด แรงที่ส่งไปล้อหลังมากเกินไป ทำให้มีอากรโอเวอร์สเตียร์ แต่ก็อย่าไปตกใจอะไรกับมันครับ แค่ผ่อนคันเร่งเล็กน้อย ดึงพวงมากลับอีกนิด แค่นี้ก็ผ่านไปได้สบายๆ
ก็ต้องบอกว่าเป็นรถที่ขับสนุกครับ เครื่องยนต์ตอบสนองดี ช่วงล่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่า ถนนบ้านเรา แม้แต่เส้นนี้ที่มองด้วยตาก็ดูว่าเรียบดี แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เรียบกริบ มีแอ่งมีเนินเล็กๆ ซึ่งไม่เหมาะกับกับการใช้ความเร็วสูง
แต่ไม่ได้หมายว่าไม่เหมาะกับรถประเภทนี้นะครับ มันขับได้แน่ และสนุกด้วย ถ้ารู้จักถนน และรู้จักรถว่าควรเอาข้อดีอะไรของมันออกมาใช้ในสภาพการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
***