จัดการศพไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์

จัดการศพไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์

เล่าเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ และนี่คือส่วนหนึ่งของบันทึกฝรั่งในอดีต

.....................................................

เรื่องของการจัดการกับผีกับศพของขุนนาง ชาวบ้านไทยในช่วงก่อนจะขึ้นเมรุเผาอย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ดูออกจะแปลกประหลาดชวนสยดสยองอย่างยิ่งในสายตาฝรั่ง ดิฉันเคยอ่านพบข้อมูลนี้ในหลักฐานชั้นต้นหลายแห่ง แต่ที่สะดุดตาสะดุดใจอย่างสุดๆ เห็นจะเป็นเรื่องเล่าของเรือตรีดุ๊ก เดอ ปอทิเอเวรอ เชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางรอบโลกจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศต่างๆ แล้วลงเรือเจ้าพระยาจากสิงคโปร์มายังกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 1867(พ.ศ.2410 ) ปลายสมัยรัชกาลที่ 4

เรือตรีดุ๊กได้เขียนบันทึกการทำศพของคนไทยยุคนั้นไว้อย่างละเอียดยิ่ง ในหนังสือการเดินทางรอบโลก ตอนประเทศสยามขอคัดมาให้อ่านกันสดๆ ดังนี้

“หลังจากที่รออยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็ได้เห็นงานศพของชนชั้นกลาง ที่นี่ก็เช่นกันสีของการไว้ทุกข์เป็นสีขาว ซึ่งตรงกันข้ามกับทางยุโรป สำหรับคนพวกนี้ความตายไม่มีผลเหมือนอย่างกับที่บ้านเรา เพราะทั้งญาติ เพื่อน และสัปเหร่อ ต่างสูบบุหรี่คุยสัพยอกหยอกล้อและหัวเราะกันขณะเดินแห่ศพ คงเป็นที่ทราบกันแล้วว่าที่อินเดียและที่นี่ไม่มีการฝัง แต่ต้องเผาศพ ซึ่งถึงแม้ว่าจะจริงที่ว่าเป็นการทำลายศพอย่างสะอาดสะอ้านกว่าการปล่อยให้หนอนแทะและให้เน่า 

และที่ว่าการเผาศพช่วยทำให้ปัญหาความสกปรกของป่าช้าหมดไปโดยปริยาย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีภาพใดจะเลวร้ายกว่านี้สำหรับคนที่ยังเป็นๆ อยู่ และเป็นภาพที่ฝังใจจนจะต้องกลับมาหลอนทุกครั้งที่นอนไม่หลับ เหมือนกับฝันร้ายอันแสนทรมาน

เรายืนดูห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสำหรับความเชื่อของผู้คนที่นี่ และนี่ก็คือภาพที่เห็นศพ ซึ่งมีผ้าขาวห่อหุ้มอยู่ถูกนำออกมาจากหีบแลวางลงไปในปะรำเหนือขอนไม้แห้งสามแถว “เจ้าคุณปลัด” ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์เป็นผู้จุดไฟ ทำให้ไฟลุกขึ้นมา แสงไฟดังกล่าวและควันซึ่งหนามากในตอนแรก ทำให้เราไม่สามารถเห็นอะไรเลย แล้วเปลวไฟก็ค่อยๆลดต่ำลง ควันก็หมดไป คงเหลือแต่ถ่านไม้ติดไฟ 

พอถึงตอนนี้ศพก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นข้างบน เสียงเนื้อที่ไหม้ดังอย่าง น่ากลัวท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้ดู และเนื่องจากศพนี้ยังใหม่อยู่จากเมื่อวาน ทั้งประสาทและกล้ามเนื้อของผู้ตายจึงเกร็งขึ้นมาเมื่อได้รับความร้อน เป็นผลให้แขนบิดไปมา นิ้วก็กระดิกได้และขางอขึ้นมา ทำให้ถ่านไม้กระจายออกไป ถ้าไม่ได้ทราบจากวิชาฟิสิคส์ว่าแมวที่ตายแล้วจะดิ้นเหมือนกบเป็นๆ เมื่อถูกวางบนที่ปิ้งไฟ 

เราก็คงจะเชื่อว่าศพนี่ตื่น และฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่! อย่างไรก็ตามศพของชายคนนี้ซึ่งกระดกขึ้นมาสะบัดแขนขาไปมาเหมือนคนที่กำลังชัก และดูเจ็บปวดแสนสาหัสบนไฟที่คุโชนทำให้ข้าพเจ้าเย็นไปทั้งตัว ข้าพเจ้าไม่ต้องการตายที่นี่จริงๆ

แต่นั่นก็คือ งานศพที่ธรรมดาที่สุดเท่านั้น นัยว่า ชาวสยามบางคนอาจพูดก่อนตายว่า “ข้าฯขอมอบแขนข้างหนึ่งให้แก่นก” ในกรณีนั้นพระสงฆ์ที่ประกอบพิธี ก็จะตัดศพออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็โยนชิ้นส่วนที่บอกไว้ให้แก่อีแร้งที่น่าเกลียด ซึ่งมักจะบินรอเหยื่ออยู่เหนือวัดจำนวนเป็นร้อยๆ ตัว ดังนั้นระหว่างที่ศพกำลังถูกเผาอยู่บนไฟ ชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งก็จะถูกกัดกินสดๆในที่เก็บศพซึ่งห่างจากที่นั่นเพียงสักร้อยก้าวเท่านั้น

เราได้เลยไปดูในที่เก็บศพ ปรากฏว่าภาพของอีกส่วนหนึ่งของงานศพซึ่งสงบกว่าที่ปะรำเผาศพ เป็นภาพที่เร้าความรู้สึกมาก จริงๆ มีสิ่งที่ขัดกันอยู่คือ ในขณะที่ชาวสยามเชื่ออย่างซื่อๆว่า จะได้บุญจากการอุทิศส่วนหนึ่งของร่างกายให้แก่นก แต่การถูกอีแร้งกินก็เป็นสิ่งที่ทำให้แปดเปื้อนเสื่อมเสียเกียรติที่สุด พระพุทธเจ้าไม่ยอมให้เกียรติแก่นักโทษของพระเจ้าแผ่นดินให้ได้ถูกเผาหรือทำให้ไหม้ไฟ ทันใดที่เราก้าวเข้าไปในที่เก็บศพ เราก็เตะกะโหลกเก่าๆปราศจากเนื้อหนังเพราะถูกกัดแทะหมดแล้วเข้าประมาณสิบสองหัว แต่ใกล้ๆนั่นเองก็มีชิ้นส่วนสดๆเต็มไปด้วยเลือดน่าขยะแขยง ซึ่งมีกลุ่มนกเหม็นๆตะครุบไว้ด้วยจงอยปากและเขี้ยวเล็บ พร้อมกันนั้นมันก็กระพือปีกเพื่อเพิ่มกำลังแรงในการฉีกเนื้อและเพื่อไล่คู่แข่งไปจากเหยื่อ 

ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนมาก กลิ่นที่นี่ก็ไม่แรงอย่างที่คิด เนื่องจากความรวดเร็วของเหตุการณ์ แต่ก็มีกลิ่นอันน่าคลื่นไส้ของตัวอีแร้งเอง นอกจากนั้นมันยังนอนกันเป็นจำนวนร้อยๆตัวในที่ที่มันกินอยู่นี่ ซึ่งเราก็เห็นได้ตามใต้ขอบเสาต่างๆ หลังจากที่ได้พาเราเดินไปท่ามกลางชิ้นส่วนของคนที่ถูกกัดกินไปครึ่งๆกลางๆ ซึ่งกระจายไปทั่วที่เก็บศพนี้ พวกพระสงฆ์รู้สึกมีความยินดีที่ได้พาเราไปชมที่เก็บศพนักโทษคนหนึ่งที่ตายเมื่อวาน ศพนี้มีไม้กระดานคลุมอยู่เพียงแผ่นเดียว และรอที่จะเป็นอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ของเหล่านก น่าสงสารจริงๆเพราะเขายังมีโซ่คล้องขาอยู่เลย แต่โซ่นี่ก็คงเป็นอุปสรรคเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับอีแร้ง

เมื่อกลับมาทางด้านหน้าที่เผาศพ เราหวังว่าจะได้เห็นพิธีตอนจบ แต่ถ่านไม้ก็ยังลุกอยู่ คงจะอีกหลายชั่วโมงกว่าเขาจะเอาเงินบาทที่ถูกใส่เข้าไปในปากของผู้ตายออกมาจากอัฐิได้ มันเป็นเงินที่พ่อแม่ของเขานำไปใส่ก่อนที่จะนำศพออกมาจากบ้านผู้ตายและเวียนสองสามรอบ “เพื่อป้องกันมิให้หาทางกลับมาได้” ต่อจากนั้นส่วนสำคัญของอัฐิเหล่านั้นก็จะถูกเก็บเข้าไว้ในโกศ และสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะเอาส่วนหนึ่งของอัฐิของคนตายใส่กระเป๋าเสื้อกลับไปด้วย! 

ข้าพเจ้าเพิ่งจะเข้าใจว่าพวกกระปุกเล็กๆที่วางเรียงกันเป็นแถวบนหิ้งไม้รอบๆที่พระในห้องหน้าบ้านต่างๆที่เห็นมา และคิดว่าเป็นกระปุกแยมนั้นคืออะไร แล้วก็ไม่แปลกใจอีกแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าในงานศพของนักรบผู้ลือชื่อคนหนึ่ง มีพระสงฆ์วิ่งเข้าไปทานตับที่เพิ่งย่าง ซึ่งเคยคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ..”

 เรื่องการกินตับของศพที่ไหม้ไฟไม่หมดนี้ ดิฉันก็เคยได้ยินมาแต่เด็ก เชื่อกันว่าใครได้กินตับกินเนื้อที่ไม่ไหม้ไฟ จะทำให้หนังเหนียวตีรันฟันแทงไม่เข้า คุณไสยจะทำอะไรไม่ได้ แต่ก่อนดิฉันเคยคิดว่าเป็นเรื่องเล่าเพ้อๆไปเรื่อย แต่ในบันทึกของราชวงศ์ฝรั่งเศสนี้ผู้ บอกให้รู้ว่า เรื่องที่เล่าลือมานั้น มีส่วนจริงอยู่ด้วย เพราะได้มีผู้เห็นการวิ่งไป “ล้วงตับ” ถูกไฟเผาไม่ไหม้จากศพบนเชิงตะกอนมากินจริงๆ แถมคนเอามากินยังเป็นพระอีกแน่ะ ส่วนกินแล้วผลตามมาเป็นอย่างไร จะหนังเหนียวจริงไหม เท่าที่ค้นข้อมูลตอนนี้ยังไม่เคยมีปรากฏหลักฐานใดๆให้อ้างอิงได้

แต่จากบันทึกฝรั่งต่างชาติ เรื่องราวการทำศพของชาวบ้านไทย ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดามากของคนไทยในวันวาน และไม่ได้มีการเผยแพร่อย่างละเอียดมาก่อนนี้ ก็ได้ถูกเก็บงำ นำเสนอไว้ อย่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก ยิ่งค้นคว้า พลิกเปิด อ่านแล้วอ่านอีก ดิฉันก็ยิ่งพบว่า

หลักฐานของฝรั่งนี้มีเรื่องเด็ด-อยู่เยอะจริงๆ

...........................................................................