ทลายแก๊งหลอกพา 'สาวอูกันดา' 28คน มาขายตัวในไทย
กวาดล้างต่างชาติผิดกม. พร้อมทลายแก๊งหลอกพา "สาวอูกันดา" 28คน มาขายตัวในไทย หลอกพามาทำงานแม่บ้าน แต่กลับให้ขายบริการ แจงถูกจับต้องถูกดำเนินคดีค้ามนุษย์ด้วย
ที่ลานจอดรถโรงแรมเกรซ ซอยสุขุมวิท 3 เมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 1 มิถุนายน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. พร้อมพ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.สส.บก.น.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ทท. , บก.สปพ. , หน่วยอรินทราช26 และ หน่วยรบพิเศษสยบไพรี ร่วมกันแถลงผลการกวาดล้างจับกุมชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศผิดกฎหมาย ทั่วประเทศ รวม 83 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 44 คน แบ่งเป็น 1.ความผิดฐานเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุดการอนุญาต(โอเวอร์สเตย์) 11 ราย แบ่งเป็นสัญชาติอินเดีย 6 ราย อุซเบกิสถาน 2 ราย ไนจีเรียและกินี ชาติละ 1 ราย 2.เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต 31 ราย แบ่งเป็นสัญชาติอินเดีย 9 ราย เมียนมา 7 ราย ลาว 5 ราย กัมพูชา 4 ราย ไนจีเรีย 3 ราย บังคลาเทศ 2 รายและ อุซเบกิสถาน 1 ราย ซึ่งทั้ง 83 จุด เป็นการเข้าตรวจค้นโรงเรียนนานาชาติ 3 แห่ง สถาบันสอนภาษา 2 แห่ง โรงเรียนสามัญ 30 แห่ง และเป้าหมายอื่นๆจำนวน 48 แห่ง
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ที่มีการดำเนินการกวาดล้างจับกุมชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศผิดกฎหมาย บริเวณนี้บ่อยครั้งนั้นเนื่องจากจุดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติและมักจะเป็นแหล่งหลบซ่อนของชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศผิดกฎหมาย ซึ่งได้มีการปฏิบัติมาแล้วรวม 26 ครั้ง ตรวจค้นเป้าหมาย 3,563 เป้าหมาย จับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 1,162 คน ซึ่งที่ผ่านมาบุคคลเหล่านี้ถูกผลักดันออกนอกประเทศไปแล้ว และได้ทำการขึ้นบัญชีดำไม่ให้กลับเข้ามาในประเทศไทยอีก
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ยังมีคดีที่น่าสนใจ คือการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์สัญชาติอูกันดา ซึ่งในรอบเดือนพฤษภาคม 2561 ได้ทำการตรวจสอบชาวอูกันดา จำนวน 28 ราย ปรากฏว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 3 ราย ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และมูลนิธิไนท์ไลท์ ทำการคัดแยกเหยื่อ ทำการแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ลุมพินี จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาชาวอูกันดารวม 6 คน ต่อมาวันที่ 31 พ.ค.เจ้าหน้าที่ได้ทำการอายัดตัว น.ส.แคทเธอรีน บาบัส ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่ จ.346/61 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 ข้อหาสมคบกันค้ามนุษย์ ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดแยกเหยื่อ ดำเนินคดีก่อนส่งไปควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง คลองเปรม ส่วนน.ส.อลันดาหรือนิกกี้ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่จ.344/2561 น.ส.โจโจ จ.342/2561 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหาสมคบกันค้ามนุษย์ โดยทั้ง 3 คนนั้นทำหน้าที่เป็นคนคุมหญิงสาวชาวอูกันดาที่มาค้ามนุษย์ในไทย และคาดว่าน่าจะยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ส่วน น.ส.โซฟี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่345/2561 น.ส.ดีเมด่า ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่จ.343/2561 และนายลาบาติล ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่จ.347/2561 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 ข้อหาสมคบกันค้ามนุษย์ สำหรับ 3 คนที่เหลือนี้เป็นนายหน้าหลอกเหยื่อที่ประเทศอูกันดา ก่อนส่งต่อให้ชุดคุมที่อยู่ในประเทศไทย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เผยอีกว่า สำหรับพฤติกรรมการก่อเหตุหลอกลวงหญิงอูกันดาจากประเทศนั้น กลุ่มคนร้ายจะใช้อุบายหลอกว่าจะพามาทำงานเป็นแม่บ้าน แคชเชียร์ในไทย โดยพาขึ้นเครื่องบินมาทำวีซ่าเข้าไทย ณ ประเทศเคนย่าก่อนแต่เมื่อพามาถึงประเทศไทยแล้ว ก็จะได้ยึดหนังสือเดินทางแล้วบังคับพาไปขายบริการซอยนานา ย่านสุขุมวิท ชดใช้หนี้ที่อ้างว่าติดอยู่คนละประมาณ 6,000-7,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติผิวขาว คนผิวสีและคนอินเดีย โดยมีค่าตัวอยู่ที่คนละ 1,000 บาท ทั้งนี้ทางขบวนการจะมีชาวอูกันดาคุมตัวไว้ไม่ให้หลบหนี โดยพาไปพักที่คอนโดมิเนียมย่านอาร์ซีเอ เมื่อครบกำหนดวีซ่า 60 วันก็พาไปทำการต่อวีซ่าที่ประเทศมาเลเชีย ก่อนนำกลับเข้าไทยใหม่ ซึ่งการกระทำของขบวนการนี้ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6,9,11และ 52 อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี และปรับตั้งแต่ 8 หมื่อถึง 1 แสนบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีการจับกุมหญิงสาวที่มาค้าประเวณี เมื่อจับได้ก็จะนำมาปรับแล้วปล่อยกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวกลับมาค้าประเวณีอีก ต่อไปหลังจากนี้เมื่อหญิงต่างชาติจะถูกจับกุมในข้อหาค้ามนุษย์อีก ก็จะต้องถูกออกหมายจับดำเนินคดี ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่จะทำการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ทั้งหมดอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นแหล่งค้ามนุษย์อีกต่อไป
