ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางยา

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางยา

โรงงานเภสัชกรรมทหารเดินหน้าภารกิจสร้างความมั่นคงทางยา ลงนามความร่วมมือระยะเวลา 3 ปีกับวว. รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเภสัชกรรมไปใช้ผลิตยาแผนปัจจุบันจากสมุนไพร พร้อมทั้งร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยโรงงานเภสัชกรรมทหารเดินหน้าภารกิจสร้างความมั่นคงทางยา ลงนามความร่วมมือระยะเวลา 3 ปีกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเภสัชกรรมไปใช้ผลิตยาแผนปัจจุบันจากสมุนไพร พร้อมทั้งร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่จะสนับสนุนเครื่องจักรการผลิตโดยเฉพาะระบบผลิตอัตโนมัติ ตั้งเป้า 6 เดือนหลังการลงนามจะมีความคืบหน้าโครงการวิจัยสารออกฤทธิ์ทางยาของกะทกรกรักษาอาการสั่นพาร์กินสัน

โรงงานเภสัชกรรมทหารผลิตยาแผนปัจจุบันปีละ 130 ล้านบาท ยาสมุนไพร 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการผลิตยากำพร้าให้กับองค์การเภสัชกรรม รวมทั้งการทำงานวิจัยยาตัวใหม่ๆ ในอนาคตจะมุ่งการพัฒนานวัตกรรมจากยาสมุนไพร ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีหลากหลายในประเทศ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เล็งเป้า“สารสกัดกะทกรก”

จากนโยบายที่ต้องการผลักดันสมุนไพรไทยให้เติบโตและขยายผลในเชิงพาณิชย์สู่ภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก จึงเกิดการบูรณาการความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานดังกล่าวเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) สนองความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

พลตรีไชย หว่างสิงห์ ผู้อำนวยการโรงงานเภสัชกรรมทหาร กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้นที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศเหมือนกับเยอรมนี ด้วยการใช้งานวิจัยและเทคโนโลยีช่วยพัฒนานวัตกรรมยาสมุนไพร และเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ช่วยประหยัดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออกในอนาคต

แนวทางความร่วมมือกับ วว. จะเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่น่าสนใจ อาทิ สารสกัดจากกะทกรกที่มีคุณสมบัติยับยั้งอาการสั่นโรคพาร์กินสัน เทคโนโลยีอบแห้งแบบเยือกแข็ง (ฟรีซดราย) และแบบพ่นฟอย รวมทั้งระบบการเติมโอโซนในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด คาดว่าอีก 3-6 เดือนจะมีความคืบหน้า

สำหรับแนวทางการตัดสินใจจะให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศและโอกาสเชิงพาณิชย์ เพื่อให้องค์กรอยู่ได้แต่ยังคงให้ความสำคัญกับภารกิจในการสร้างความมั่นคงทางยา ด้วยการผลักดันการพัฒนานวัตกรรมยาจากสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นวัตถุดิบในประเทศ ให้มีมูลค่าและคุณค่าสูงขึ้น คาดว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 ปี

“อนาคตผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรไทย ไม่ใช่ยาลูกกลอนแต่จะเป็นการพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรที่มีความเข้มข้นสูง มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับยาแผนปัจจุบัน อาจเริ่มจากการรักษาอาการพื้นฐาน เช่น ปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง ฯล และพัฒนาไปสู่การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้ามากขึ้น เช่น การเข้ามามีบทบาทของนาโนเทคโนโลยี”

วว.หนุนโนว์ฮาวเสริมทัพ

ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานวิจัยที่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม ที่พร้อมถ่ายทอดให้กับหน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงสังคมและพาณิชย์ ฉะนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีในการผลักดันองค์ความรู้ของ วว.ไปยังโรงงานเภสัชกรรมทหาร เพื่อเกิดประโยชน์การใช้งานกับกองทัพและประชาชนทั่วไป รวมทั้งผลักดันการพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรไทยก้าวสู่เวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรมเร็วขึ้น

“เรามีศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่ทำงานค้นคว้าวิจัยด้านนี้มานาน จึงมีความพร้อมให้การถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงบุคลากรที่จะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในทุกมิติ หลากหลายประเภท หลากหลายเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการสกัดสารสำคัญและการวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล”

ด้านกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของการผลักดันงานวิจัยและเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ถูกนำไปใช้จริง และสามารถพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ตามนโยบายรัฐบาล

กรมส่งเสริมฯ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือในการประสานงานเครือข่ายในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ให้กับหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม รวมไปถึงการฝึกอบรมบุคลากรให้มีทักษะตามที่ต้องการ นับเป็นอีกมิติหนึ่งของแนวทางการผลักดันสมุนไพรไทยก้าวสู่เวทีโลกในระดับสากล