รอ 3 ปี ลุ้นปชช.ขออนุญาต 'ปลูกกัญชา' ภายใต้การควบคุม

รอ 3 ปี ลุ้นปชช.ขออนุญาต 'ปลูกกัญชา' ภายใต้การควบคุม

"กัญชา" ปลูกเพื่อรักษาโรคเท่านั้น ไม่ปลดพ้นบัญชียาเสพติดประเภท 5 "ปลูก-เสพผิดกฎหมาย" รอลุ้น 3 ปี อาจเปิดให้ประชาชนขออนุญาตปลูกภายใต้การควบคุม

เมื่อวันที่ 17 พ.ค.61 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการป.ป.ส. กล่าวว่า ปัจจุบันพืชกัญชายังเป็นยาเสพติดประเภท 5 เช่นเดียวกับ กระท่อม ฝิ่น และเห็ดขี้ควาย ตามพ.ร.บ.ยาเสพติด 2522 แต่ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพืชสารเสพติด โดยมีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ในการทดลองวิจัยเพื่อรักษาโรคในคนได้ แต่มีมาตรการในการควบคุมการปลูกตามขั้นตอน ซึ่งต้องยอมรับว่าการนำกัญชามาใช้จะเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยทางการแพทย์ นอกจากนี้กฎกระทรวงสาธารณสุขได้ระบุให้ รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขเป็นผู้อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐ ปลูก หรือผลิตกัญชาเพื่อใช้ในการทดลองและวิจัยได้ เช่นเดียวกับทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยรังสิตและมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ขออนุญาตปลูกและเสนอโครงการทดลองเพื่อใช้ในการทำสเปรย์รักษาโรคมะเร็ง และบรรเทาอาการปวด

นายศิรินทร์ยา กล่าวอีกว่า ป.ป.ส.สนับสนุนการใช้พืชกัญชารักษาโรคและใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ยังไม่อนุญาตให้นำมาใช้เสรีหรือการเสพเพื่อความบันเทิง เพราะเกรงจะเกิดปัญหาและส่งผลกระทบกับเยาวชนในระยะยาว ดังนั้นกัญชายังถือเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 มีโทษเหมือนเดิม การเสพกัญชาจะใช้เพื่อประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการรักษาโรคจะกระทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มติครม.ฉบับดังกล่าวให้รมว.สาธารณสุข และคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เป็นผู้ควบคุมการผลิต นำเข้า หรือส่งออก รวมทั้งครอบครองเพื่อศึกษาวิจัย ส่วนป.ป.ส. มีอำนาจในการกำหนดเขตพื้นที่ทดลองปลูก ผลิต และทดสอบสารเสพติดที่อยู่ในกัญชา โดยต้องมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด

กัญชงยังเป็นยาเสพติดประเภท 5 เหมือนกัญชา แต่ได้มีการอนุญาตให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยรัฐเป็นผู้ควบคุม อนุญาตให้โครงการหลวงและโรงงานยาสูบจำกัดการปลูกในแปลงทดลอง เพื่อนำไปทำวิจัย หลังจากนี้อีก 3 ปี อาจจะพิจารณาว่าจะอนุญาตให้บุคคลทั่วไปขออนุญาตปลูกกัญชาโดยรัฐควบคุมพื้นที่ปลูกได้หรือไม่ โดยต้องอยู่ในเงื่อนไขของการปลูกเพื่อนำกัญชาไปใช้สนับสนุนหรือทำลองทางการแพทย์เท่านั้น นายศิรินทร์ยากล่าว

ขณะที่นายวิโรจน์ สุ่มใหญ่ ประธานคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ(INCB) กล่าวว่า การนำสารสกัดจากกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ทางยูเอ็นฯไม่ได้ห้าม แต่มีข้อระบุไว้ในสนธิสัญญาว่าด้วยวัตถุมีฤทธิ์ต่อจิตและประสาทว่าเป็นพืชที่มี 2 สถานะ คือ มีประโยชน์ทางการแพทย์นำไปใช้เป็นยารักษาโรค และมีฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหมือนฝิ่นและโคคา จึงห้ามผลิต ห้ามปลูก นอกจากรัฐจะปลูกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์การวิจัยทางการแพทย์ โดยต้องมีการควบคุม เพราะพืชหรือต้นไม้ที่นำไปผลิตเป็นยารักษาโรคจะต้องปลอดจากสารเคมีทุกชนิด ไม่เช่นนั้นจะไม่ผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยา (อย.) โดยพื้นที่ปลูกต้องได้รับใบอนุญาต จากนั้นจึงให้จังหวัดกำหนดพื้นที่และควบคุมพื้นที่ได้รับจัดสรรตามโควต้า สำหรับผลผลิตที่ได้จะถูกส่งเข้าส่วนกลางและโรงงานยา ซึ่งทุกประเทศที่นำพืชเสพติดมาผลิตยาจะดำเนินการลักษณะเดียวกันนี้

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า กฎหมายไทยยังกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 การปลดล็อคกัญชาให้พ้นสถานพืชเสพติดยังทำไม่ได้ แต่ทางอย.หรือกระทรวงสาธารณสุขสามารถอนุญาตให้ปลูกเพื่อวิจัย หรือเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ หรือผลิตยารักษาโรคได้ โดยอนุญาตให้เป็นรายๆไป แต่ต้องมีการควบคุมดูแลผลผลิตซึ่งทำได้ไม่มีปัญหา เพียงจะต้องวางระบบให้ดี