มุมมอง 2 ทายาท “โกลเบล็ก”' ได้เวลาเซอร์ไพรส์..!! 

มุมมอง 2 ทายาท “โกลเบล็ก”' ได้เวลาเซอร์ไพรส์..!! 

เมื่อธุรกิจ“ค้าหลักทรัพย์” ไม่ใช่ดาวรุ่งพุ่งแรง ขณะที่ธุรกิจค้าทองคำ “แข่งขันสูง-มาร์จิ้นต่ำ” ถึงคราที่ “ธนพิศาล-ธนาภุช คูหาเปรมกิจ” ทายาทรุ่น 3 อาณาจักร“โกลเบล็กฯ" ต้องพลิกแผน สร้างเซอร์ไพรส์ แจ้งเกิด“ธุรกิจใหม่” ปีนี้

ปีที่แล้ว รายได้ธุรกิจค้าหลักทรัพย์” ค่อนข้างซบเซา รายได้ธุรกิจค้าทองคำ” การแข่งขันสูงมาร์จินต่ำ !! 

"เสียงบ่นดังๆ ของลูกชายคนสุดท้อง ของเสี่ยโฮฬาร คูหาเปรมกิจ อัพ-ธนพิศาล คูหาเปรมกิจประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหลานชาย เซนต์-ธราภุช คูหาเปรมกิจ กรรมการผู้จัดการ แห่ง บมจ. โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ หรือ GBX 

จากสถานการณ์ที่ว่านี้ เห็นทีจะอยู่เฉยไม่ได้ !!

สองหนุ่มนักบริหาร” จับเข่าเล่าถึงทางโตของอาณาจักรโกลเบล็กฯจากนี้ ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง โดยระบุชัดว่า ในไม่ช้า ต้องมีธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเสริมพอร์ตรายได้ แม้สถานการณ์ดังกล่วจะยังไม่ทำให้บริษัทถึงขั้นขาดทุน ทว่าโอกาสจะเห็นการโตแบบก้าวกระโดด คงเป็นไปได้ยาก 

สะท้อนผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2558-2560) ของ GBX  พบว่ามีกำไรค่อนข้างถดถอย โดยมีกำไรสุทธิ 11.74 ล้านบาท 40.75 ล้านบาท และ 1.60 ล้านบาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 33,914.04 ล้านบาท 56,598.98 ล้านบาท และ 52,557.56 ล้านบาท ตามลำดับ

แน่นอน การมองหาธุรกิจใหม่ๆ จึงเป็น เรือธง” (Flagship) สองทายาทประสานเสียง !!

ภายในปีนี้ น่าจะเห็นว่าเราจะทำอะไรใหม่ เช่น นำเงินไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ให้น่าสนใจในเชิงผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ให้มา แม้ธุรกิจหลักจะมีกระแสเงินสด สภาพคล่องดี แต่เป็นธุรกิจที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น(ROE) ไม่สูงมาก จึงต้องหาธุรกิจใหม่ที่มี ROE สูงขึ้น และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น” 

ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เผย

ธนพิศาล ยังแจกแจงแผนปฏิบัติการณ์ในปีนี้ให้ฟังว่า เริ่มจากธุรกิจค้าหลักทรัพย์ ภายใต้การดูแลของเขา ในอดีตธุรกิจนี้เคยตั้งเป้าเติบโตระดับ 10%” ทุกปี แต่วันนี้คงจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว สถานการณ์มันเปลี่ยนไปเยอะ เขาเปิดฉากเล่า 

โดยปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่เป็น รีเทลโบรกเกอร์ ในภาพรวมไม่ค่อยสดใส ฐานที่ บล.โกลเบล็ก เป็นหนึ่งในรีเทลโบรกเกอร์ที่มีสัดส่วนลูกค้าส่วนใหญ่เป็น นักลงทุนรายย่อยมากกว่า 90% ขึ้นไป และมี นักลงทุนสถาบันสัดส่วนไม่ถึง 10% ค่อยข้างเหนื่อย เพราะนักลงทุนรายย่อยแทบไม่ซื้อไม่ขายหุ้น หรือ อีกเหตุผลคือติดหุ้นในพอร์ต รวมทั้งสภาพคล่องในตลาดยังไม่กลับมา สอดคล้องกับภาพรวมมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) เฉลี่ยในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) อยู่แค่ระดับ 30,000 ล้านบาท เท่านั้น

ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ทำงานค่อนข้างเหนื่อยมากตั้งแต่นั่งบริหารมา 5 ปีก่อน เพราะความที่อุตสาหกรรมแข่งขัน รุนแรงประกอบกับตลาดหุ้นไทยที่ดัชนี SET INDEX ตกอยู่ในภาวะ ซบเซานานกว่า8 เดือน ก่อนจะมีฟื้นตัวในช่วงปลายปี

เมื่อตลาดหุ้นซบเซา ทำให้โบรกเกอร์ที่มีนักลงทุนรายย่อยมีรายได้จากค่านายหน้า” (Commission Fee) ลดลง โดย บล.โกลเบล็ก ปัจจุบันมีรายได้ค่าคอมมิชชั่นน้อยลงเหลือแค่ 55% เทียบกับช่วง 4 ปีก่อนที่บริษัทมีรายได้ค่าคอมมิชชั่น 90%  ทำให้ต้องหารายได้เสริม

โดยที่ผ่านมา ธุรกิจที่เข้ามาเสริมพอร์ตรายได้ของบริษัทแล้วคือ ธุรกิจวาณิชธนากร หรือ IB” โดยคาดว่าในปีนี้เราน่าจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ราว 3 บริษัท ล่าสุดได้เปิดตัวทีมงานในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) นำ บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

นอกจากนี้ เสริมรายได้ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ประเภทหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นรายได้ใหม่ โดยบริษัทเริ่มออกหุ้นกู้ตั้งแต่กลางปี 2559 โดยปีนี้จะพยายามทำให้ได้ใกล้เคียงปีก่อน และยังคงมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน รวมถึงการขยายธุรกรรมเพื่อรองรับความผันผวนในการลงทุน ทั้งที่เป็น Brokerage (ค่านายหน้า) และ Non-Brokerage (ไม่ใช่ค้านายหน้า) 

รวมทั้ง การส่งเสริมการตลาดด้านธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) การพัฒนาระบบการลงทุนออนไลท์ด้านหลักทรัพย์-อนุพันธ์ เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายและมีความหลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ  Settrade, I2Trade, Stock Radars และ MT4 for TFEX มุ่งเน้นให้ความรู้การลงทุนและ Model Trade แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้า ทั้งการลงทุนในหลักทรัพย์และอนุพันธ์ ขยายฐานลูกค้าไปยังด้านการซื้อขายหน่วยลงทุนเพิ่ม โดยคาดว่าในไตรมาส 3 ปีนี้ จะออก หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานเข้ามาแล้ว

สอดคล้องกับหลายๆ โบรกเกอร์ที่ก่อนหน้านี้ เริ่มทยอยปรับตัวกันแล้ว เช่น บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI ที่ปรับตัวรับมือกับแนวโน้มวอลุ่มตลาดหุ้นที่ลดลงมานาน ด้วยการกระจายการสร้างรายได้ค่าคอมมิชชั่นออกไปในตลาดอื่นๆ อาทิ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) , ใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (DW), ตลาดตราสารหนี้ รวมถึงการลงทุนด้วยบัญชีบริษัท (Prop Trade)

ทายาทรุ่น3”  ยังประเมินภาพรวมตลาดหุ้นในปีนี้ว่า ทิศทางน่าจะดีกว่าปีก่อน เพราะสภาพคล่องในตลาดมากกว่า เห็นจากเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มใหญ่ ประกอบกับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกดี สอดคล้องกับตัวเลขของเศรษฐกิจทั่วโลกยังมีเติบโต ส่วนเศรษฐกิจในประเทศ หลายสำนักเศรษฐกิจคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตมากกว่า 4% ขึ้นไป

แม้ว่า ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนอีกครั้ง หลังจากตั้งแต่ต้นปีเปิดตลาดหุ้นมาด้วยความร้อนแรง ดัชนี SET INDEX ปรับตัวขึ้นไปทำ จุดสูงสุด” (New High) เป็นครั้งแรกของปีที่ 1,791.39 จุด (4 ม.ค.ที่ผ่าน) นับเป็นจุดสูงสุดใน รอบ 24 ปี” ตั้งแต่ดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ ระดับ 1,789.16 จุด (เมื่อ 5 ม.ค.2537)

โดยบล.โกลเบล็ก ยังคงตั้งเป้ารายได้ในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์ไว้ที่การเติบโต "ไม่ต่ำกว่า 20%” จากปีก่อนที่รายได้ไม่เติบโต 

เชื่อว่าปีนี้ตลาดหุ้นจะสดใสกว่าปีก่อน สาเหตุมาจากปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว แม้ว่าจะมีปัจจัยลบภายนอกเข้ามากระทบ แต่มองว่าเป็นเพียงระยะสั้น หากมองในระยะยาวเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวยังเป็นตัวหนุนให้ตลาดหุ้นสดใส” 

ขณะที่มูลค่าการซื้อขาย เขาประเมินว่า น่าจะสูงกว่าวอลุ่มเทรดเฉลี่ยใกล้เคียงระดับ 50,000 ล้านบาท และเป็นวอลุ่มที่มาจากนักลงทุนสถาบันเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่วอลุ่มของนักลงทุนรายย่อยเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว แต่ยังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไม่มาก สอดคล้องจากวอลุ่มจะไปอยู่ที่หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่” (Big Cap) ที่มีความเคลื่อนไหวคึกคัก

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ฯ ยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ สะท้อนผ่านในปี 2560 ที่ผ่านมา ฟากหลักทรัพย์ฯ ได้จัดโครงการ Supertrader ปี 4 ต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และในปี 2561 บริษัทหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมายเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของบทวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันจะจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับหุ้นที่เข้าจดทะเบียนใหม่

 ในส่วนของธุรกิจค้าทองคำ ธนาภุช คูหาเปรมกิจ” เล่าให้ฟังว่า ในปีนี้ มีเป้าหมายสร้างรายได้จากการค้าทองคำประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%”จากปีที่ผ่านมา โดยจะขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น10-20% ประมาณ 1,000 ราย เน้นออกไปหาลูกค้าใหม่ในต่างจังหวัดมากขึ้น รวมทั้งการจัดงานสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทอง

โดยกลยุทธ์คือ ออกไปหาลูกค้ามากขึ้น ธุรกิจนี้มาร์จินต่ำต้องทำใจ ฉะนั้นการขยายฐานลูกค้าช่วยเสริมเงินในกระเป๋ามากขึ้นแน่นอน ซึ่งธรรมชาติของธุรกิจทองคำ เป็นธุรกิจที่มีมาร์จินต่ำ เพราะว่าการแข่งขันสูง เปรียบเหมือนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ของธุรกิจปิโตรเคมีที่มีส่วนต่างแคบ ธุรกิจทองคำยิ่งแคบกว่า เพราะตัวแปรมากมาย อาทิ ค่าเงิน

“ถ้าตลาดหุ้นยิ่งคึกคัก ตลาดทองคำยิ่งเงียบ แต่ถ้าเราพยายามบอกลูกค้าถึงการออมทองคำน่าจะเป็นจุดขายที่ดีในภาวะเช่นนี้ เพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า เราต้องพยายามเปลี่ยนวิธีคิดของลูกค้า”

หนุ่มเซน” ยังพูดถึงภาพรวมธุรกิจโฮลดิ้งว่า ปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่าปีก่อนที่โฮลดิ้งมีกำไรสุทธิลดลงมาก สาเหตุมาจากธุรกิจค้าหลักทรัพย์กำไรลดลง เนื่องจากตลาดหุ้นซบเซา ขณะที่ธุรกิจทองคำในปีนี้จะมีทำโปรดักท์ใหม่ออกมากระตุ้นตลาด ด้วยการเพิ่มช่องทางการซื้อขาย โดยลูกค้าสามารถซื้อขายทองคำแท่งผ่าน Application Mobile ทั้งระบบ iOS และ Androidและการเพิ่มช่องทางข่าวสารของบริษัทผ่าน Social Media

รวมทั้งบริษัทจะจัดทำบทวิเคราะห์การลงทุนในทองคำร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ฯ ในนามกลุ่มบริษัทโกลเบล็ก โดยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ Social network และนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน รวมทั้งการออกไปเจาะตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้ามากขึ้น

สำหรับ ปีนี้แนวโน้มความผันผวนของราคาทองคำ จากปัจจัยสงคราม และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ มองว่าราคาทองคำในปีนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นมากว่าลง ภายใต้ปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นมีความรุนแรงระดับไหน โดยให้กรอบราคาทองคำ 1,300-1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนะนำข้อสังเกตเกี่ยวกับราคาทองคำว่า ราคาจะขึ้นหรือลงมี 4 ปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย ข้อ1.ให้ดูเงินดอลลาร์ ถ้าดอลลาร์อ่อนค่าราคาทองคำจะหักหัว “ขึ้น” ตรงข้ามหากแข็งค่าราคาจะ “ลง” 2. พิจารณาอัตราเงินเฟ้อ 3.อัตราดอกเบี้ย สุดท้าย คือ ดูภาวะสงคราม ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อทิศทางราคาทองคำ

-------------------------------

สัญญาณดัชนี1,900จุด..ยาก!! 

อัพ-ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบล.โกลเบล็ก ทำนายภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่า จากหลายสำนักที่ออกมาทำนายว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปยืนระดับ 1,900 จุดนั้นในมุมมองส่วนตัวเห็นว่าปีนี้คาดดัชนีSET Index ไม่น่าจะขยับขึ้นไปถึง 1,900 จุด แต่ว่ามีโอกาสขึ้นไปแตะนิวไฮเดิมของปีนี้ได้

โดยหุ้นกลุ่มที่เริ่มจะเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ปี 2560แล้ว ประกอบกับราคาหุ้นมีความเคลื่อนไหวปรับตัวขึ้นเยอะมาก และต่อเนื่องมาถึงปี 2561 ประกอบด้วย หุ้น กลุ่มท่องเที่ยวสะท้อนเห็นภาพจากจำนวนนักท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตมาก โดยปีนี้คาดการณ์จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทยมากขึ้นกว่าปีก่อน 

หุ้น กลุ่มพลังงานก็จะมาเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ล่าสุดตั้งแต่ต้นปีราคาน้ำมันดิบโลกกลับมาเป็นขาขึ้น ดังนั้น หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จะเป็น หุ้น ปตท. (PTT) , หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เป็นต้น หุ้นกลุ่มส่งออก ที่ปัจจุบันได้รับผลบวกจากตัวเลขอัตราการส่งออกเติบโตสูง ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จะเป็น หุ้นกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ,อาหาร เป็นต้น

หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวสะท้อนเห็นภาพจากตลาดนักท่องเที่ยวโต โดยปีนี้คาดการณ์จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทยมากขึ้นกว่าปีก่อน

หุ้น กลุ่มก่อสร้างถือว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครางการรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง ,ทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) ,รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ราคาหุ้นจะสะท้อนข่าวไปมากแล้ว ดังนั้น นักลงทุนเลือกลงทุนเป็นรายตัว

หุ้น กลุ่มโรงพยาบาลแม้ที่ผ่านมาจะมีการเติบโตมากแล้ว แต่เชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้อีก แต่อาจไม่รวดเร็วเช่นในอดีต

และหุ้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังมีโอกาสเติบโตได้แต่ต้องเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท ดูบริษัทที่มีกลยุทธ์การขายอสังหาฯ ให้กับกลุ่มต่างชาติที่ยังมีแนวโน้มเติบโต เพราะว่าต่างชาติเข้ามาซื้อเพราะมองว่าอสังหาฯ เมืองไทยยังไม่แพงมาก