ผวาบอนด์ยีลด์พุ่งฉุดดาวโจนส์ทรุดกว่า400 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันอังคาร (24เม.ย.)ตามเวลาท้องถิ่น ร่วงลงกว่า400 จุด เนื่องจากนักลงทุนเทขายอย่างตื่นตระหนก หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งทะลุระดับ 3% ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ แต่หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นสวนทางตลาด จากการคาดการณ์ที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการของธนาคาร

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 424.56 จุดหรือ 1.74% ปิดที่ 24,024.13 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500  ร่วงลง 35.73 จุดหรือ 1.34% ปิดที่ 2,634.56 จุดและดัชนีแนสแด็ก ลบ 121.25จุด หรือ  1.7% ปิดที่ 7,007.35 จุด

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมใจกันดิ่งลงในวันนี้ โดยหุ้น 3เอ็มทรุดตัวลง 8.6% หลังจากที่บริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรของปีนี้ และในการซื้อขายช่วงแรกดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดโดยได้ปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่ดาวโจนส์ร่วงลงสู่แดนลบในเวลาต่อมา หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งทะลุระดับ 3% ในวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557

เมื่อเวลา 20.49 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.001% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.171%

ขณะที่บริษัทล็อคฮีด มาร์ติน เวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น  แคทเทอร์ พิลลาร์ และโคคา โคล่า ต่างเปิดเผยตัวเลขกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้าม หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นเหนือระดับ 3.04% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2554

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ