ผวาบอนด์ยีลด์พุ่งฉุดดาวโจนส์ปิดลบ

ผวาบอนด์ยีลด์พุ่งฉุดดาวโจนส์ปิดลบ

หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ และเมิร์ค ดีดตัวขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทโบรกเกอร์ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของทางบริษัท

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์ (23เม.ย.)ร่วงลง 14 จุด หลังจากที่ทรงตัวในการซื้อขายช่วงแรก ขณะที่นักลงทุนจับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00% ซึ่งระดับดังกล่าวได้เคยส่งผลให้เกิดแรงเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้น, พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนหน้านี้

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 14.25 จุดหรือ 0.06% ปิดที่ 24,448.69 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 0.15 จุดหรือ 0.01% ปิดที่ 2,670.29 จุดและดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวลง 17.53จุดหรือ 0.25 % ปิดที่ 7,128.60 จุด

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฉุดตลาดปรับตัวลง ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ดิ่งลงมากที่สุดในวันนี้

นักลงทุนทั่วโลกต่างวิตกต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีที่กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00% หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.00% จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557 และถ้าหากทะยานขึ้นเหนือระดับ 3.04% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2554

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงพุ่งขึ้นในวันนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีใกล้แตะระดับ 3.18%

นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตร หลังสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.99% ในวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.175%

ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน

ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานหลายปี จากการที่เฟด และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาด หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการใช้นโยบายผ่อนคลายดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเคยชินกับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และพากันเข้าซื้อหุ้นในตลาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นทั่วโลก เนื่องจากคาดว่าเฟดจะยังคงแทรกแซงตลาดต่อไปด้วยการเข้าซื้อพันธบัตร

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดประกาศปรับลดงบดุล และลดวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ก็ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มดีดตัวขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะปรับตัวอยู่ในช่วง 3.0-3.5% ในปลายปีนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น และทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ขณะที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซา และถดถอยในที่สุด

บริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีทจะทำการเปิดเผยผลประกอบการอย่างคึกคักในสัปดาห์นี้ โดยมีบริษัทมากกว่า 170 แห่งจะเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสแรก ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท 3เอ็ม  อเมซอน และเชฟรอน

ผลการสำรวจพบว่า บริษัทมากกว่า 82% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว มีตัวเลขผลกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

ตลาดจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้