แรงขายทำกำไรกดดันราคาน้ำมันดิบปิดตัวกรอบแคบ

แรงขายทำกำไรกดดันราคาน้ำมันดิบปิดตัวกรอบแคบ

ขณะที่มีรายงานว่าซาอุดิอาระเบียต้องการผลักดันราคาน้ำมันให้พุ่งขึ้นถึงระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาดไนเม็กซ์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี(19เม.ย.)ลดลง 18 เซนต์ ปิดที่ 68.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้น 2.9 % เมื่อวันพุธ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ ปิดที่ 73.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 1 ล้านบาร์เรล

อีไอเอ ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินดิ่งลง 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ร่วงลง 3.1 ล้านบาร์เรล  โดยความต้องการใช้น้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.86 ล้านบาร์เรล/วัน ก่อนฤดูกาลขับขี่รถยนต์ในสหรัฐ

ถึงแม้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการที่สหรัฐและพันธมิตรโจมตีซีเรียในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงจับตากลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนที่ได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีกรุงริยาดของซาอุดิอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อตอบโต้ซาอุดิอาระเบียที่ได้ทำการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏ

สงครามกลางเมืองในเยเมนเปรียบเสมือนการทำสงครามตัวแทนระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน โดยซาอุดิอาระเบียให้การสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีอับดราบูห์ มันซูร์ ฮาดี แต่อิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏฮูตีที่มีความจงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ โดยกลุ่มกบฏฮูตีครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของประเทศ

นอกจากนี้ การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ก็ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า สหรัฐอาจคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ขณะใกล้เส้นตายในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งจะส่งผลให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันในตลาดโลก

ส่วนการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน