(สกู๊ป) 4ตัวเต็งลุ้นคว้ารางวัลพีเอฟเอซีซั่นนี้

(สกู๊ป) 4ตัวเต็งลุ้นคว้ารางวัลพีเอฟเอซีซั่นนี้

ใกล้จะจบฤดูกาลเต็มทีสำหรับฟุตบอล 5 ลีกใหญ่ยุโรป ซึ่งหลายๆอย่างของในแต่ละลีกคงจะเริ่มชัดเจนแล้วทั้งตำแหน่งแชมป์, การลุ้นพื้นที่ยุโรป รวมถึงทีมที่จะตกชั้น

      โดยเฉพาะในฟุตบอลลีกสูงสุดของแดนผู้ดี อย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ตำแหน่งแชมป์ คงจะหนีไม้พ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มีคะแนนนำหน้าอันดับ 2 คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ถึง 13 แต้ม ขณะเหลือการแข่งขันอีก 6 นัด
     

      ส่วนการชิงชัยไปเล่นฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รวมถึงการลุ้นหนีตกชั้นถือว่ายังมีลุ้นอยู่จนถึงนัดสุดท้ายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายซีซั่นของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเช่นนี้ ก็จะมีธรรมเนียมที่ทำกันมาถึง 45 ปีนับตั้งแต่ซีซั่น 1973–74 แล้ว นั่นก็คือ การมอบรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ)

     สำหรับรางวัลดังกล่าวจะให้เพื่อนนักเตะร่วมอาชีพเป็นผู้โหวต ซึ่งพวกเขาสามารถจะเลือกใครก็ได้ยกเว้นตัวเอง และเพื่อร่วมสังกัด โดยปีที่แล้วผู้ที่คว้าไปครอง คือ เอ็นโกโล่ กองเต กองกลาง เชลซี หลังพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง

     ในส่วนของปีนี้ก็มีแข้งฟอร์มแรงหลายรายที่เป็นตัวเต็งซึ่งมีสิทธิ์คว้ารางวัลไปเชยชมจากการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศโดยดูจากผลงานส่วนตัว รวมถึงภาพรวมของทีมในปีนี้

ดาวิด เด เคอา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้รักษาประตูของทีม “ปีศาจแดง” รายนี้คือ 1 ใน 3 นายทวารที่เก่งที่สุดในโลก พิสูจน์ได้จากฟอร์มการเล่นอันดนียวหนึบ และคงเส้นคงวาตลอดนับตั้งแต่อยู่กับทีม แอตเลติโก มาดริด จนย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2011
    สำหรับนายด่านวัย 27 ปีที่จุดเด่นอยู่ตรงที่ปฏิกิริยาในการป้องกันประตูที่รวดเร็ว ซึ่งบ่อยครั้งเขามักจะเซฟลูกยิงได้แบบมหัศจรรย์ และช่วยให้ทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ทั้งๆที่รูปเกมเป็นรอง รวมถึงพาต้นสังกัดผลาดคว้าแชมป์มาแล้วมากมาย ทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, อีเอฟแอล คัพ 1 สมัย และยูฟ่า ยูโรปา ลีก 1 สมัย
เช่นเดียวกับในซีซั่นนี้ที่มือกาวทีมชาติสเปนยังรักษาฟอร์มการเฝ้าเสาได้แบบสุดยอดเช่นเดิม ด้วยสถิติการเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดในลีกถึง 16 นัด และเสียประตูเพียง 25 ลูก นอกจากนั้นเจ้าตัวยังโชว์การเซฟไปแล้วกว่า 99 ครั้งอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจหากเขามีมีชื่อติดโผเข้าชิงรางวัลนี้
     ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้ตกเป็นข่าวว่า เรอัล มาดริด ที่เกือบจะได้ตัว เด เคอา ไปร่วมทัพแล้วเมื่อปี 2015 หวนกลับมาให้ความสนใจเจ้าตัวอีกครั้ง และพร้อมจะทุ่มข้อเสนอกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 4.3 พันล้านบาท) เพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมถิ่น ซานติอาร์โก้ เบร์เนาเบว ให้ได้ในซีซั่นหน้าอีกด้วย

ราฮีม สเตอร์ลิง (แมนเชสเตอร์ ซิตี)

     ใครจะเชื่อว่าจากแข้งดาวโรจน์ที่ชอบเล่นบอลแบบตามใจตัวเอง คือเน้นแต่การเลี้ยงโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมทีม จะก้าวมาเป็นนักเตะที่มีดีทั้งในเรื่องการจ่ายบอล และการยิงประตูจนถึงปัจจุบัน
    โดยตอนแรกที่ทีม “เรือใบสีฟ้า” ทุ่มเงินกว่า 49 ล้านปอนด์ (2.1 พันล้านบาท) เพื่อแลกตัวเจ้าหนูรายนี้เข้ามาอยู่ในถิ่น เอติฮัด สเตเดียม นั้นพวกเขาก็ถูกเสียงวิจารณ์อย่างหนาหูเนื่องจากถูกมองว่าราคาแพงเกินค่าตัว และจะเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน
    ในซีซั่นแรกของเขากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี เจ้าตัวแทบจะปรับตัวกับแผนการเล่นของ มานูเอล เปเยกรินี ไม่ได้เลย และกลายเป็นจุดให้สื่อเอามาวิจารณ์ซ้ำเข้าไปอีกด้วยการทำไปเพียง 11 ประตูจาก 47 นัดเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในซีซั่นต่อมาหลังจากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ สเตอร์ลิง ก็ปรับทัศนคติจากการเรียนรู้ และสั่งสอนของโค้ชชาวสแปนิช จนเจ้าตัวกลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่ทำได้ทั้งการยิง, การเลี้ยง รวมถึงการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม
     กระทั่งในซีซั่นนี้ถือว่าเป็นปีแจ้งเกิดอีกครั้งของแข้งวัย 23 ปี เนื่องจากเจ้าตัวระเบิดฟอร์มโดยเฉพาะการทำประตู โดยเขาซัดไปแล้ว 16 ประตูจากการลงสนาม 28 นัดซึ่งมากที่สุดในทุกซีซั่นที่เคยลงแข่งขัน พร้อมช่วยทำประตูสำคัญให้ทีมมาแล้วมากมาย เช่น ลูกยิงยิงประตูชัย 2-1 ช่วงทดเจ็บนาที 95 กับ เซาแธมป์ตัน และลูกยิงประตูชัย 2-1 ช่วงทดเจ็บนาที 90+7 ในเกมกับ บอร์นมัธ ซึ่ง สเตอร์ลิง กล่าวถึงสไตล์การเล่นของตนเองในปัจจุบันว่า “ผมอาจจะเลี้ยงได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้ว แต่นี้เป็นฤดูกาลที่ผมมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งนี่ล่ะที่ผมต้องการ เพราะเลี้ยงไปก็ไม่มีความหมายถ้าคุณไม่ได้ช่วยทีม”

เควิน เดอ บรอยน์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี)

    เชื่อว่าแฟนๆของทีม เชลซี เมื่อได้ยินชื่อของแข้งรายนี้ขึ้นมาต้องนึกเสียดายว่าเพราะเหตุใดต้นสังกัดจึงปล่อยตัวเพชรเม็ดงามออกจากทีมไปแบบไม่ใยดีเช่นนี้
    สำหรับ เดอ บรอยน์ เคลล้มเหลวในการค้าแข้งบนลีกสูงสุดของแดนผู้ดีมาแล้ว 1 ครั้งเมื่อฤดูกาล 2012 ภายใต้การคุมทัพของ โชเซ่ มูรินโญ จนต้องถูกปล่อยตัวให้ แวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวในปีต่อมา ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดีจนแต่ไม่สามารถหาตำแหน่งในทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ได้จนต้องย้ายไปอยู่กับ โวล์ฟสบวร์ก ในฤดูกาลต่อมา
    โดยในช่วงที่เขาอยู่กับ “หมาป่าเมืองเบียร์” กองกลางทีมชาติเบลเยียมได้พิสูจน์ฝีเท้าของตนเองอย่างเต็มที่ด้วยการขึ้นมารับบทบาทเป็นจอมทัพของทีม พร้อมช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ เดอเอฟเบ โพคาล มาครองในซีซั่น 2014-2015
     เป็นเหตุให้ในฤดูกาล 2015-2016 แมนเชสเตอร์ ซิตี ยอมทุ่มเงินจำนวน 58 ล้านปอนด์ (ราว 2.49 พันล้านบาท) โดยไม่สนข้อครหาว่า เดอ บรอยน์ เคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว 1 ครั้ง เพื่อให้แข้งรายนี้มาช่วยปั้นเกมรุก ซึ่งในซีซั่นแรกเขาก็โชว์ผลงานอย่างโดดเด่นกับต้นสังกัดใหม่จนทีชื่อเป็น 1 ในแคนคิเคตที่มีลุ้นรางวัลบัลลงดอร์
     จนกระทั่งในปี 2016 เดอ บรอยน์ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะซูเปอร์สตาร์ได้แบบเต็มตัว ภายใต้การขัดเกลาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทั้งการจ่ายบอลที่แม่นยำ และการยิงประตูที่สุดคมจนกลายเป็นแข้งที่หาใครมาทดแทนได้ยาก
     สืบเนื่องมาจนซีซั่นนี้ที่ต้องบอกเลยว่าการที่ “เรือใบสีฟ้า” มีเกมรุกที่จัดจ้าน และสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้นั้น ส่วนสำคัญมาจากแข้งวัย 26 ปีที่โชว์เพลงแข้งบนสนามได้อย่างงดงามราวกับงานศิลปะ จากการยิงไป 7 ประตูกับอีก 15 แอสซิสต์ ซึ่งสูงที่สุดในลีก นอกจากนั้นเขายังมีอัตราการจ่ายบอลที่แม่นยำถึง 25% จากการจ่ายทั้งหมด 2,345 ครั้งในฤดูกาลนี้
     จึงไม่น่าแปลกใจหาเขาจะถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง ซึ่งเจ้าตัวระบุว่า “สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าผมสมควรได้รับสิ่งนี้ก็เพราะผมรักษาฟอร์มการเล่นได้คงเส้นคงวา ผมมีความสุขมากๆกับผลงานของตัวเอง ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะเล่นได้ดีในซีซั่นนี้ แต่ถ้าผมได้รับรางวัลมันก็คงเป็นเรื่องดีสำหรับทีม และสำหรับตัวผม ผมคิดว่าแทบไม่มีเกมไหนที่มาตรฐานของผมตกเลย”

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

     ก่อนที่ซีซั่นนี้จะเริ่มขึ้นคงจะไม่มีใครเชื่อว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะกลายเป็นสตาร์ที่เจิดจรัสมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก จากการทำไปถึง 29 ประตู และครองตำแหน่งดาวซัลโวของลีกอยู่ในขณะนี้ทั้งๆที่ตัวเอคือนักเตะในตำแหน่งปีก
สำหรับ ซาลาห์ ที่เคยเกือบย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2014 แต่เจ้าตัวกลับเลือกไป เชลซี และไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะย้ายไปสร้างชื่อในศึกกัลโช่ เซเรีย อา นั้น คือเป้าหมาอันดับแรกในการเสริมทัพของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งสุดท้าย “หงส์แดง” จ่ายค่าตัวของแข้งรายนี้ให้กับ โรม่า ไปเพียง 37 ล้านปอนด์ (ราว 1.59 พันล้านบาท) เท่านั้น
     และแนวรุกทีมชาติอียิปต์ก็ปรับตัวกับแผนการเล่นของ คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดี เพราะกุนซือชาวเยอรมันชอบบอลเร็ว, บุกเร็ว และเพรสซิงเร็ว ทำให้ ซาลาห์ ได้บอลเยอะ รวมถึงมีโอกาสยิงเยอะถึงไม่ได้ยืนในตำแหน่งหน้าเป้าก็ตาม
     นอกจากนั้นเขายังเข้ามาทำลายสถิติของ ลิเวอร์พูล ในหลายๆอย่างเพียงแค่ซีซั่นแรกของการลงเล่นในถิ่น แอนฟิดล์ ทั้ง เป้นนักเตะที่ทุบสถิติยิงเท้าซ้ายในพรีเมียร์ลีกต่อฤดูกาลมากสุดโดยยิงไปแล้ว 23 จาก 29 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่เคยทำไว้ที่ 19 ประตู, เป็นนักเตะอียิปต์คนแรกที่ยิงแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกในเกมที่เอาชนะ วัตฟอร์ต 5-0 รวมถึงเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูต่อฤดูกาลมากสุดในประวัติศาสตร์โดยตอนนี้ยิงไปแล้ว 37 ประตูรวมทุกรายการ ทำลายสถิติเดิมของ ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่เคยทำไว้ในซีซั่น 1995/96 ที่ 36 ประตู เป็นต้น
     ด้วยผลงานยิงรวม 37 ประตูทุกรายการซึ่งมากสูงสุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปนี้ ทำให้ ซาลาห์ คืออีกหนึ่งเต็งสำคัญที่จะคว้ารางวัลพีเอฟเอไปครองได้ ตีคู่มากับ เดอ บรอยน์ แต่เขาอาจเสียเปรียบตรงที่ไม่สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ใดในเกาะอังกฤษมาครองได้เลย

     และทั้งหมดนี้คือ 4 ตัวเต็งที่มีลุ้นในการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวไปครอง เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ เคน และคริสเตียน อิริคเซน 2 แข้งจาก สเปอร์ส ที่มีลุ้นในรางวัลนี้เช่นเดียวกัน โดยในช่วงเร็วๆนี้จะมีการประกาศ 6 รายชื่อสุดท้ายที่เข้าชิงรางวัลพีเอฟเอ ประจำซีซั่น 2017-2018 ก่อนจะมีการประกาศในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้