หุ้นไทยดิ่งหนักวิตกสงครามการค้า-กำไรแบงก์กดดัน

หุ้นไทยดิ่งหนักวิตกสงครามการค้า-กำไรแบงก์กดดัน

หุ้นไทยดิ่งหนัก ปิดตลาดลบกว่า 40 จุด เผย 2 ปัจจัยกดดันตลาด ทั้งสถานการณ์สงครามการค้าโลกที่เข้มข้นขึ้น ขณะ ข่าวกำไรแบงก์รูดจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมโอนเงินออนไลน์กดดัน ด้าน “เกศรา” มองสงครามการค้าไร้ผลกระทบพื้นฐานหุ้นไทย เหตุสัดส่วนส่งออกไปจีนน้อย

ดัชนีหุ้นไทยวันนี้(4เม.ย.) ปิดตลาดที่ระดับ 1,724.98 จุด ลดลง 40.26 จุด หรือลดลง 2.28% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 9.3 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิจำนวน 204 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนรายบุคคลในประเทศ ซื้อสุทธิ 7,517 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,859 ล้านบาท และพอร์ตลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 3,862 ล้านบาท

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถูกกดันจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่มีความเข้มข้นอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามในด้านผลกระทบกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่มากนักเพราะสัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศจีนไม่สูงมาก

“ปัจจัยที่กระทบกับตลาดหุ้นนั้น ตลาดหลักทรัพย์ให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เพราะในประเทศยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การเติบโตเศรษฐกิจไทยยังเป็นไปตามคาดหมาย”

ทั้งนี้ผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียนไทย มองว่าผลกระทบจะจำกัด เนื่องจากการส่งออกของประทเศไทยในภาพรวมไปยังประเทศจีนคิดเป็น 10 % ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งการส่งออกของไทยส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่มอาหาร หรือ สินค้าอุปโภคบริโภคไม่ได้อยู่ในห่วงโซ่การผลิตมากนัก

ส่วนการบังคับขายหุ้น หรือการแจ้งเตือนผู้ลงทุนให้เพิ่มหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ได้มีรายงานในเรื่องดังกล่าว เพราะปัจจุบันนักลงทุนมีความเข้าใจการลงทุนมากขึ้น และมีการปิดสถานะหากตลาดปรับตัวลดแรงเพื่อป้องกันความเสียหาย

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ เกิดแรงกังวลจากปัจจัยภายในประทเศ หลังจากที่ธนาคารกสิกรไทยได้ประกาศปรับผลการดำเนินงานลงจากการปรับลดค่าธรรมเนียม ส่งผลกระทบกับกลุ่มธนาคารให้ความกังวลกลับมาอีกครั้ง

“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงในช่วงบ่าย ถูกกดดันจากกลุ่มธนาคาร ที่นักลงทุนที่นักลงทุนเกิดความกังวลกลับมาอีกครั้ง หลังจากธนาคารกสิกรไทยปรับประมาณการการเติบโตของบริษัทใหม่ ซึ่งความกังวลนี้มีต่อเนื่องมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยเรามองว่า ความกังวลนี้เป็นความกังวลที่มากเกินไป”