จากกระดาษสู่ออนไลน์ อนาคตบนแพลตฟอร์มใหม่ของนวนิยายไทย
บ่ายของวันนี้ (2 เม.ย.) นิตยสารนวนิยายออนไลน์ www.anowl.co (อ่านเอา) จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 46
www.anowl.co มีหัวเรือใหญ่เป็นนักเขียนนวนิยายที่เราคุ้นชื่อกันดี 3 คน นั่นคือ นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ (พงศกร) เจ้าของผลงาน สาปภูษา, รอยไหม ปาริฉัตร ศาลิคุปต์ (กิ่งฉัตร) ผู้เขียน บ่วงหงส์, สาปพระเพ็ง, สูตรเสน่ห์หา, ปิยะพร ศักดิ์เกษม (นันทพร ศานติเกษม) ซึ่งเขียน ทรายสีเพลิง, รากนครา, ใต้เงาตะวัน โดยมีทีมงานหลังบ้านซึ่งรับผิดชอบเรื่องโปรดักส์ชั่น การตลาด ประสานงาน และอื่นๆ อีก 5คน
กลางสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนถ่ายวิดีโอการทำ ”ซูเฟล่” ซึ่งเป็นเมนูในนวนิยายเรื่องหนึ่ง พวกเขาบอกว่า หมายมั่นปั้นมือให้ ‘อ่านเอา’ เป็นพื้นที่นวนิยายในแพลตฟอร์มใหม่ๆ และนอกจากข้อเขียนแล้ว พื้นที่แห่งนี้จะประกอบไปด้วยรูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ รวมถึงกิจกรรม การท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากโลกวรรณกรรม
ถ้าเราคุ้นชินกับคำว่า “นิตยสารปิดตัว” และเริ่มคุ้นเคยกับความเห็นที่ว่าบุคลิคของสื่อใหม่กับคนทำสื่อเก่าช่างแตกต่างกันคนล่ะขั้ว ลองฟังเรื่องเล่าจากนักเขียน 3 ท่าน ซึ่งคุ้นเคยกับโลกกระดาษ แต่กำลังสนุกสนานกับประสบการณ์ใหม่ๆ
ทำไมถึงต้องเป็น www.anowl.co
พงศกร : พวกเราคุยกันตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และเห็นว่าเมื่อนิตยสารปิดตัวลง โดยเฉพาะนิตยสารสกุลไทย ขวัญเรือน ดิฉัน ซึ่งให้พื้นที่สำหรับนักเขียนนวนิยายปิดตัวลง ทำให้นักอ่านที่เคยติดตามผลงานไม่รู้จะตามงานได้จากที่ไหนบ้าง และเมื่อการอ่านมันเปลี่ยนแพลตฟอร์มไป ต่างคนต่างเอางานใส่ลงไปในอินเตอร์เนต มันเหมือนกับเราตกลงไปในมหาสมุทรแห่งคอนเทนต์ ซึ่งบางส่วนก็คงจมหายไปโดยที่ไม่มีใครมองเห็น ดังนั้นจึงควรมีที่ทางเป็นหลักเป็นแหล่งให้กับมัน เราจึงขอเป็นอีกทางเลือก และโชคดีว่าเราได้น้องๆ ทีมงานอีก 5 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นคนรุ่นใหม่ที่คล่องแคล่วกับการทำสื่อประเภทนี้ มีประสบการณ์และต้นทุนที่แตกต่างกัน ก็เลยชักชวนให้ร่วมทำเว็บไซต์นี้ด้วยกัน
กิ่งฉัตร : อย่างน้อยก็มีจุดให้คนมองเห็นนะ แล้วการมุ่งสู่ออนไลน์ก็เป็นการเปิดตลาดให้กับนักเขียนรุ่นใหญ่ เช่น เขาเขียนในสกุลไทยซึ่งเป็นนิตยสารที่มีกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มแม่บ้าน แต่พอมาอยู่ในออนไลน์แล้ว ใครๆ ก็อ่านได้ โอกาสที่จะคลิ๊กอ่านก็ง่ายกว่า จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักเขียนรุ่นกลางหรือรุ่นเก่าที่ยังไม่สันทัด ไม่มีแฟนเพจหรือเว็ปไซต์มาก่อนได้เปิดตลาด ขณะเดียวกันก็หวังว่าแพลตฟอร์มใหม่จะสร้างกลุ่มคนอ่านที่ต่างจากเดิมด้วย
เว็บไซต์แห่งนี้จะต่างจากเว็บไซต์นิยายอื่นๆ อย่างไร
พงศกร : คำว่า “อ่านเอา” ก็ตีความได้หลากหลาย ทั้งอ่านเอาเรื่อง อ่านเอาอรรถรส แต่เนื้อหาจะไม่ได้เจาะจงเฉพาะนิยาย เราจะมีเนื้อหาในรูปแบบที่ใกล้ชิดกับคนอ่าน เช่น คลิปรายการอาหารที่ชื่อ “อ่านอร่อย” ซึ่งเป็นสูตรของตัวละครในเรื่อง อย่างการทำซูเฟล่ ซึ่งเป็นอาหารที่อยู่ในฉากเรื่องสุดเสน่หา หรือการหาสูตรข้าวมันไก่ของคน จ.อยุธยา ซึ่งถูกกวาดต้อนไปอยู่อังวะในสมัยกรุงแตก ซึ่งมาจากนวนิยายเรื่อง Irrawaddy…เกลียวกระซิบ หรืออย่างในเรื่องคอลัมน์ เราจะทำให้มันหลากหลาย เช่น คอลัมน์ เรื่องผีที่ฉัน (อยาก) เล่า ของ ‘จินต์ชญา’ ซึ่งมาจากนิตยสารพลอยแกมเพชร
ปิยะพร : โลกสมัยใหม่ต้องการพื้นที่ให้มีส่วนร่วม เมื่อพื้นที่มันเปิดแล้ว เนื้อหาจึงไม่ได้จำกัดแค่หนังสือหรือในกระดาษอย่างเดียวแล้ว เราเอากิจกรรมต่างๆ มาร่วมกับผู้อ่านได้ด้วย แต่ในเรื่องของคุณภาพงานเราจะเน้นโมเดลของนิตยสาร นั่นคือการมีระบบบรรณาธิการที่จะคัดสรรและตรวจเช็คความถูกต้อง ควบคุมคุณภาพของต้นฉบับ นวนิยายทุกเรื่อง และทุกคอลัมน์ที่มาลงจะต้องผ่านการพูดคุยจากคณะบรรณาธิการก่อนว่าเป็นเรื่องที่สนุกให้สาระประโยชน์ สามารถต่อยอดทางความคิดได้ ไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน
กิ่งฉัตร : เรามองถึงการเป็นออนไลน์คอมมูนิตี้ ที่ผู้เขียนและผู้อ่านจะได้มีปฏิสัมพันธ์กัน นอกเหนือจากการอ่านเพียงอย่างเดียว ต่อไปก็อาจจะเป็นของนักเขียนท่านอื่น ซึ่งแม้จะไม่ได้เขียนในอ่านเอา แต่มีมุมที่น่าสนใจ เช่น อาจจะมาจากเรื่องสี่แผ่นดิน ข้างหลังภาพ หรืออาจจะเป็นการจัดทริปท่องเที่ยว พาไปดูพิพิธภัณฑ์ผ้าที่ยังข้องเกี่ยวหรือมีพื้นฐานมาจากวรรณกรรม
การเลือกนักเขียนที่นี่ไม่ได้เจาะจงเฉพาะรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เรามีทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลางที่มีผลงานน่าสนใจ เช่น ปราปต์, ปองวุฒิ, นาคเหรา, ภัสรสา และต่อไปก็ตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่ตรงนี้ในการค้นหา และสนับสนุนนักเขียนรุ่นใหม่ๆ เหมือนอย่างที่ในสมัยก่อนนิตยสารก็เป็นพื้นที่แจ้งเกิดของนักเขียน
พวกคุณเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง หนังสือก็ยังขายได้ บางเรื่องทำเป็นบทละคร ทำไมยังเลือกที่จะเขียนและหาพื้นที่แสดงงานอยู่
ปิยะพร : ตอนแรกก็คิดจะอยู่เฉยๆ นะ เขียนงานไปเรื่อยๆ แล้วรวมเล่มสวยๆ ไม่ต้องเหนื่อย แต่พอเวลามันผ่านไป ใจเรายังอยากเขียน มองหาเวทีก็หายไป ในมุมของนักอ่านเองวันดีคืนดีนิตยสารที่เคยอ่านก็หายไปหมดเลย จะไปอ่านในเว็บ ก็ไม่รู้จะเจอที่ไหน ไม่รู้ว่าจะเจอกิ่งฉัตร เจอคุณหมอพงศกรที่ไหน เลยคิดว่าเราน่าจะสร้างเกาะสักแห่งให้เป็นที่มั่นของนักเขียนและนักอ่าน มีระยะเวลาแน่นอนในการติดตามเหมือนกับนิตยสาร
พงศกร : ผมว่านักเขียนนี่ก็เหมือนเป็นรุ่น เกิดเป็นช่วงเวลา และการหายไปของนิตยสารประจำก็อาจจะทำให้ผลงานของนักเขียนขาดช่วงไป คือโอเค...วันนี้มีเว็บไซต์ลงงานเขียนได้อิสระ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีนะ แต่การมีระบบบรรณาธิการ เหมือนกับการเป็นนักกีฬาแล้วมีโค้ชมันก็สำคัญ นั่นเพราะจะช่วยฟูมฟักให้นักกีฬาคนนั้นแข็งแรงขึ้น แล้วจะส่งไม้ให้รุ่นต่อๆ ไปได้ อย่างอาจารย์มาลา คำจันทร์ (นักเขียนรางวัลซีไรต์จากผลงานเจ้าจันทร์ผมหอม) ท่านก็เตรียมนิยายเรื่องหนึ่งที่จะลงในนิตยสาร แต่พอดีนิตยสารปิดตัวเลยเก็บเอาไว้ พอท่านทราบว่าเราจะเปิดพื้นที่ท่านก็ให้เรามาทั้งเรื่อง
ยังคิดว่าคอนเทนท์อย่างนิยายเหมาะกับการอ่านในเว็บไซต์อยู่
ปิยะพร : ใช่...เราคิดว่ากลุ่มคนอ่านใหม่มันเกิดใหม่ทุกวันนะ ถ้าลองไปดูเว็บไซต์ที่ลงนิยาย จะเห็นว่าแต่ละเว็บไซต์มีเรื่องใหม่ๆ เป็นพันๆ เรื่องเลย และคนอ่านก็คลิ๊กทีในหลักหมื่น หลักแสน พี่ไม่เชื่อว่านิยายจะตาย ไม่ใช่ว่าคนอ่านนิยายในนิตยสาร พอนิตยสารเลิกก็จะเลิกอ่านไปด้วย เราประเมินว่าแม้เว็บไซต์จะเยอะ แต่ส่วนใหญ่คือเรื่องไลฟ์สไตล์ ความรู้สั้นๆ แต่ของเราจะทำให้แตกต่าง คุณสุภัทร สวัสดิรักษ์ บรรณาธิการนิตยสาร สกุลไทย ท่านพูดเสมอว่า นิตยสาร 1 เล่มก็เหมือนสำรับกับข้าว จะต้องมีต้ม มีผัด มีแกง มีขนมหวาน มีพริกน้ำปลา ซึ่งทุกอย่างจะต้องรวมเข้าด้วยกันเป็น 1 สำรับ เรื่องที่เป็นจริงเป็นจังก็มี เรื่องที่เฮฮาก็มีสลับกันไป เว็บไซต์อ่านเอาก็เหมือนกับข้าว 1 สำรับ
กิ่งฉัตร : การเป็นเว็บไซต์อาจดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหนังสือออกมาคุณก็ต้องไปตามหาใช่ไหม เมื่ออยู่ออนไลน์ก็ทำให้คนอ่านสามารถเข้ามาติดตามได้ เช่น พี่เคยลงงานในเว็บไซต์เด็กดี พออัพปุ๊บ คนเข้ามาอ่านทันที และมีปฏิสัมพันธ์ในวินาทีนั้นเลย ทิ้งไว้แค่ 10 นาที ก็จะมี Feedback เต็มไปหมด กลายเป็นว่าผู้ติดตามงานเราเป็นคนอีกเจเนอเรชั่น
นักเขียนรุ่นใหญ่ต้องปรับตัวกับเทคโนโลยี หรือเรียนรู้พฤติกรรมการรับสื่อใหม่เยอะไหม
พงศกร : เยอะมากครับ ผมมองว่าเป็นบุคลลิกเฉพาะตัวด้วย ถ้าเป็นนักเขียนที่ปรับได้ไว เช่น อาจารย์มาลา คำจันทร์ ท่านก็ใช้เฟซบุ๊คคุยกับนักอ่าน มีความเข้าใจสื่อใหม่ แต่กับนักเขียนบางท่านที่อายุน้อยกว่าก็อาจจะใช้เวลามากกว่า บางคนทำได้เร็ว บางคนก็ต้องใช้เวลา อย่างตอนแรกที่หลายคนเอานิยายมาลงอีบุ๊ค ผมยังเคยคิดว่าจะไม่ทำนะ เพราะกลัวจะโดนลอก กลัวจะแย่งยอดพิมพ์ แต่พอเริ่มลองทำแล้ว มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด กลายเป็นยอดหนังสือเล่มไม่ได้ลดลง แต่ได้ยอดอีบุ๊คเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนอ่านที่อยู่ต่างประเทศ พวกเขาเข้าถึงงานเราได้สะดวกขึ้น
นิยายที่ดีในโลกสิ่งพิมพ์กับออนไลน์คือสิ่งเดียวกันไหม
กิ่งฉัตร : อันเดียวกัน ไม่เปลี่ยนเลย คุณจะเขียนสไตล์ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องทำคือทำให้คนอ่านอินกับตัวละครนั้น อยากเอาใจช่วย รู้สึกเกลียดชัง หรือรักใคร่
พงศกร : ถ้ามาวิเคราะห์นิยายออนไลน์ก็จะเห็นว่าบุคลิกเดียวกันกับนิยายเล่ม คืออ่านแล้วจับใจ มีอารมณ์ร่วม ติดตาม ลุ้นเอาใจช่วย หรือถ้าคุณไปดูนิยายจีน คุณก็จะเห็นแบบนี้ คือตัวละครเอกต้องประสบชะตากรรมจนคนอ่านอยากจะช่วยให้ก้าวพ้นชะตากรรมเหล่านั้น
กิ่งฉัตร : ตอน แฮรี่ พอตเตอร์ ออกมา อ่านแรกๆ เราก็รู้เลยว่าเรื่องนี้ต้องดังมากๆ เพราะว่าเรื่องนี้มันตามแพทเทิร์นเลย เป็นซินเดอเรลล่าในมุมของเด็กชาย เป็นลักษณะ God of the Fairy Tale (เรื่องเวทมนตร์) แต่เครื่องปรุงมันสนุก มีความน่าสนใจ แล้วเชื่อมโยงไปได้เรื่อยๆ เล่าไปถึงพ่อแม่ เพื่อน โรงเรียนเวทมนตร์
ปิยะพร : มันวนเวียนมาจากพื้นฐานของมนุษย์ แก่นหลักจะมีประมาณนี้ แน่ว่ามีการกดขี่ ข่มเกง เงียบเหงา เศร้าซึม ต่อสู้กับตัวเอง ผิดฝาผิดตัว อยู่ที่ว่าคนเขียนจะมีเทคนิคอย่างไร
พอมีข่าวนิตยสารปิดตัว ก็จะมีหลายคนออกมาโพสต์ระลึกถึงความหลัง บางคนเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือ แต่ไม่กี่เดือนผู้คนก็ลืม แล้วอีกไม่นานก็จะเกิดข่าวนิตยสารปิดตัวใหม่ พวกคุณมองเรื่องนี้อย่างไร
พงศกร : ผมอยู่ในเหตุการณ์ทั้งในนิตยสาร volume สกุลไทย ขวัญเรือน แรกๆ ก็รู้สึกเหมือนบ้านพัง แต่พอเวลาผ่านไปก็จัดการความรู้สึกตัวเองได้ และเป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับเพราะสังคมมันเปลี่ยนไปและในอดีตมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเรื่องอื่นๆ เพียงแต่เราอยู่ใน Comfort zone ที่ไม่ต้องคิดถึงมัน
ปิยะพร : ไม่แปลกใจกับเรื่องนิตยสาร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการอ่านจะสูญสิ้น หนังสือเล่มก็ยังไปได้ เล่มพิเศษยังมีคนอยากเป็นเจ้าของ เหมือนกับมีคอมพิวเตอร์แต่ดินสอก็ยังอยู่ แต่ลดคุณค่าไป บางคนอาจมีความคิดว่า รัฐบาลต้องช่วยเหลือ ด้วยการโยนเงินไปให้ผลิตงานวรรณกรรม หรือให้เงินไปอุ้มนิตยสารฉบับนั้นฉบับนี้ สำหรับพี่ คิดว่ามันไม่ใช่แล้ว ถ้าเป็นเมื่อ 30-40 ปีก่อนอาจจะใช่ การโยนเงินเพื่อไปช่วยหนังสือใดหนังสือหนึ่ง หรือผลิตนิยายได้สัก 10 เรื่อง เป็นเพียงการชะลอเวลาเท่านั้น สุดท้ายจะเป็นแค่การแลกกันอ่าน วานกันเขียน
กิ่งฉัตร : มันก็เป็นสัจธรรม เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานก็จะเปิดขึ้น ตอนนี้เมื่ออีกบานมันหรี่ลง แต่ช่องทางอื่นเปิดอีกเยอะเลยนะ คุณก็ต้องเลือกแล้วแหละว่าจะอยู่ในประตูบานไหน