'กรุงเทพประกันภัย' รุกรายย่อย ดันเบี้ยปีนี้โต5%

'กรุงเทพประกันภัย' รุกรายย่อย ดันเบี้ยปีนี้โต5%

กรุงเทพประกันภัย ชูเป้า "เบี้ยรับปี61" โต5% แตะ16,800ล้านบาท รุกขยายตลาดประกันรายย่อย เน้นคัดงานคุณภาพ -ไม่ลดเบี้ยแข่ง พร้อมรุกดิจิทัลเตรียมสร้างหน่วยงานนวัตกรรมแจ้งเคลมและชำระเงิน ล่าสุด ออกกรมธรรม์ประกันสวนทุเรียน บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจากเกษตรกร

นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการและประะานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่าในปี 2561 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายมีเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 16,800 ล้านบาท เติบโต 5% โดยมีทิศทางในการดำเนินธุรกิจหลักจาก การขยายเบี้ยประกันภัยทั้งจาการเพิ่มอัตราการต่ออายุ และการหาลูกค้าใหม่ การติดตามพอร์ตการรับประกันภัย และการคัดเลือกรับประกันภัยงานที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้คู่ค้า ตัวแทนและนายหน้าที่มีพอร์ตงานประกันภัยส่งงานให้บริษัทเพิ่มมากขึ้น

ในส่วนของการขยายตลาดลูกค้าราย่อย สำหรับการประกันภัยรถยนต์ โดยกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดจะมุ่งขยายงาน ได้แก่ รถบรรทุกใหญ่ ซึ่งยังมีอัตรา ความเสียหาย (Loss Ratio) ในระดับที่ยอมรับได้ และในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงตามอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ปริมาณการค้าชายแดน และการก่อสร้างโครงการก่อสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่วนการประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่นๆ บริษัทยังคงมีนโยบายกำหนดเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงภัย ยังคงไม่เน้นลดเบี้ยเพื่อการแข่งขัน ทางด้านงานประกันภัยนอนมอเตอร์ยังจะมุ่งขยายตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะนำดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ โดยขณะนี้ได้ทำการศึกษาและเตรียมการสร้างหน่วยงานเฉพาะด้านนวัตกรรมและดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อสรรหาเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในธุรกิจประกันภัย เช่น เทคโนโลยีที่กี่ยวข้องกับการขายประกันภัย เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการแจ้งเคลมหรือชำระเงินเพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพของการให้บริการ ปัจจุบันบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการนำระบบ CRM มาใช้ในการบริการลูกค้า ทั้งนี้บริษัทยังให้ความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ทางด้านการพัฒนาแบบประกันนั้น บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาบริษัทได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยสวนทุเรียน ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทประกันภัยรายแรกที่มีการรับประกันภัย โดยให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัย ได้แก่ ภัยลมภาพายุ ลูกเห็บ น้ำท่วม ไฟใหม้ ฟ้าผ่า ไฟไหม้ป่า เป็นต้น อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าประกันภัยสวนทุเรียนจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคในการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจากเกษตรกรได้เป็นอย่างดี

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 15,940 ล้านบาท ลดลง 0.6% ในส่วนของผลกำไรบริษัทมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงิน 1,396 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารการลงทุนที่ดี ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 2,762 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีได้แล้ว บริษัทจึงมีกำไรสุทธิ 2,403 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 22.57 บาท

อย่างไรก็ตามในปี 2561 บริษัทเชื่อว่าภาพรวมธุรกิจประกันภัยจะมีอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการคาดการณ์ของสำนักคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คาดว่าจะมีการขยายตัวได้ที่ 5% โดยตลาดประกันภัยรถยนต์ยังคงเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในปี 2560 ที่เติบโต 13.4% และคาดว่าในปี 2561 นี้จะมีอัตราการเติบโตได้ที่ประมาณ 3.4% หรือประมาณ 900,000 คัน