กกต.ชี้คำสั่งคสช.53/60 มี 5 ปมขัดแย้ง-ไม่ตรงหลักการ ทำพรรคมีปัญหา
กกต.ชี้คำสั่งคสช.53/60 มี 5 ปมขัดแย้ง-ไม่ตรงหลักการ ทำพรรคมีปัญหา "ศุภชัย" แฉรบ.รับปากจะแก้ไข แต่ยังไร้วี่แวว พร้อมเตือนนักการเมืองดูกฎหมาย
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการแก่พรรคการเมือง ครั้งที่ 2/2561 เรื่อง แนวทางการดำเนินกิจการแก่พรรคการเมือง โดยมีแกนนำ และตัวแทนของพรรคการเมือง ทั้งสิ้น 55 พรรคการเมือง อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค, พรรคเพื่อไทย นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ร รักษาการหัวหน้าพรรค, พรรคชาติไทย นำโดย นายธีระ วงศ์สมุทร, พรรคสังคมประชาธิปไตย นำโดย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, พรรคชาติพัฒนา นำโดย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรค, พรรคภูมิใจไทย นำโดย นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรค, พรรคพลังชล นำโดย นายพันธุ์ศักดิ์ เกตุวัตถา เลขาธิการพรรค และมีผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม กว่า 300 คน
ทั้งนี้นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวตอนหนึ่งโดยยอมรับถึงปัญหาและความไม่ชัดเจนของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งกกต.ฐานะผู้ปฏิบัติงานไม่ใช่ผู้ออกกฎหมาย จึงไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองนำนปัญหาเข้าหารือ ซึ่งเกี่ยวกับคำสั่งของคสช. ตน จึงนำประเด็นไปปรึกษากับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งคสช.มอบหมายให้ชี้แจง โดยเบื้องต้นทราบว่าคสช.จะแก้ไขคำสั่งที่ 53/2560 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ดังนั้นในแนวทางปฏิบัติของพรรคการเมืองหามีประเด็นปัญหาของให้พรรคการเมืองเสนอแนะมายังกกต. หากอยูในอำนาจของกกต. จะดำเนินการแก้ไขให้ แต่หากเกี่ยวข้องกับคำสั่งหรือประกาศของ คสช. ต้องนำปัญหาดังกล่าวไปหารือเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งตนขอให้รีบทำก่อนที่กฎหมายต่างๆ จะมีผลบังคับใช้
จากนั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต. รักษาการแทนเลขาธิการ กกต. ชี้แจงต่อการทำกิจการของพรรคการเมือง โดยเตือนพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองต้องทำกิจกรรมและดำเนินการด้วยตนเอง โดยคำนึงถึงระบบการปฏิรูปการเมืองด้วย และในกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ ระบบเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาผู้สมัคร ส.ส. (ไพรมารี่โหวต) พรรคต้องจัดการเอง หากไม่ทำและมีผู้ร้องเรียน กกต.ต้องแจ้งตำรวจเพื่อดำเนินการแม้สิทธิการส่งผู้สมัคร ส.ส. จะไม่เสียไป แต่กรรมการบริหารพรรคต้องได้รับโทษทางอาญา, การหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ผ่านป้ายหาเสียงที่กกต.กำหนดพื้นที่ติดตั้ง ผ่านกระดานประชาสัมพันธ์และติดตั้งในพื้นที่ชุมชน โดยผู้สมัครไม่สามารถนำป้ายติดตั้งตามเสาไฟฟ้าได้อีก ทั้งนี้เพื่อความเท่าเทียม เสมอภาคและเที่ยงธรรมกับทุกพรรคการเมือง นอกจากนั้นจะทำเอกสารประชาสัมพันธ์ผู้สมัครส่งไปยังประชาชนตามครัวเรือน เพื่อให้ศึกษาก่อนตัดสินใจออกเสียงลงคะแนน
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวด้วยว่าสำหรับการหาเสียงผ่านอิเล็คทรอนิกส์ หากเป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย หรือใส่ร้ายบุคคล ตามกฎหมายกำหนดให้กกต. ลบข้อความดังกล่าวออกจากระบบโซเชียลมีเดียด้วย ทั้งนี้ขั้นตอนปฏิบัติกกต.จะร่างระเบียบอีกครั้ง ขณะที่การทุจริตเลือกตั้ง หรือ ซื้อเสียง กฎหมายมีความเข้มงวดมากขึ้น และกฎหมายให้สิทธิ์กกต. ออกใบเตือน (ใบส้ม)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมดังกล่าวทางพรรคการเมืองได้ซักถามประเด็นปัญหาและขอให้ทบทวนเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา, นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย โดยสาระสำคัญของคำถามคือ ประเด็นการยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค พร้อมชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ที่กฎหมายกำหนดในมาตรา 140 ระบุให้ยืนยันภายใน 30 วันนับจากวันที่ 1 เมษายน ไม่เช่นนั้นจะสิ้นสภาพความเป็นสมาชิกพรรค ขณะที่มาตรา 141 ระบุว่าให้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคตามจำนวนให้ครบภายใน 4 ปีและเมื่อพ้นระยะดังกล่าวให้ถือว่าสิ้นสมาชิกภาพ ซึ่งอาจเกิดปัญหาว่าบุคคลที่เป้นสมาชิกพรรคอยู่เดิมและไม่ชำระค่าบำรุงพ้นระยะ 4 ปีอาจต้องสิ้นสภาหรือไม่, การชำระค่าบำรุงพรรคและการแสดงหลักฐานการชำระเงิน ที่ผ่อนผันให้ใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์แทนลงลายมือชื่อในเอกสารได้หรือไม่
โดยนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ชี้แจงต่อประเด็นปัญหาตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 มาตรา 140 และ มาตรา 141 ที่ฝ่ายการเมืองระบุว่ามีความขัดแย้งกัน ว่า มาตราทั้ง 2 ไม่เกี่ยวข้องกัน เนื่องจากมาตรา 140 คือกระบวนการยืนยันสมาชิกพรรคพร้อมกับชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ตามกฎหมายกำหนดให้ระยะ 30 วันต้องยืนยันให้ได้ 500 คน ขณะที่มาตรา 141 คือ การปรับตัวของพรรคการเมือง ให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ ทั้งนี้หากพรรคใดมีสมาชิกไม่ครบจำนวนที่กฎหมายกำหนด ได้วางกรอบระยะเวลาให้ต้องจัดหาให้ได้ คือ ภายใน 1 ปีต้องมีสมาชิกพรรค ไม่น้อยกว่า 5,000 คน, ภายใน 4 ปี ต้องมีสมาชิกพรรค ไม่น้อยกว่า 1หมื่นคน เป็นต้น
นายแสวง กล่าวด้วยว่าส่วนการหาสมาชิกพรรคการเมืองรายใหม่ในช่วงเดือนเมษายนนั้นสามารถทได้ แต่ต้องขออนุญาตจาก คสช. ก่อน อย่างไรก็ตามใน
คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 มี 5ประเด็นที่ต้องแก้ไขเพราะขัดเจตนาและหลักการไม่ตรงกัน อาทิ เรื่องจัดตั้งสาขาพรรค ที่ทำได้หลังยกเลิกคำสั่งคสช. ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง แต่สวนอื่นๆ เช่น การตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด สามารถทำได้ ทั้งนี้ กกต.สามารถการแบ่งเขตเลือกตั้งได้ ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน และมีเวลาให้พรรคทำไพรมารี่โหวตภายในเดือนธันวาคม ดังนั้นเพื่อให้พรรคทำได้ภายใต้กรอบเวลาสั้นๆ พรรคจึงเตรียมตัวไว้ได้ก่อน, เรื่องค่าบำรุงพรรค ที่ทำให้พรรคเสียประโยชน์ แม้บทเฉพาะกาลจะกำหนดให้ชำระค่าบำรุงพรรคได้ปีแรก 50 บาท แต่ยังไม่มีช่วงเวลาที่ชัดเจน, เรื่องการขออนุญาตทำกิจกรรมของพรรคการเมือง ใน 3 ประเด็น คือ ประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค, จัดตั้งสาขา และตัวแทนประจำจังหวัด, การประชุมสมาชิกพรรค ที่อาจขัดกับคำสั่งคสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมดังกล่าวตัวแทนพรรคการเมืองยังได้สอบถามต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อื่นๆ อาทิ สอบถามถึงความชัดเจนต่อการกำหนดวันเลือกตั้งและออกพระราชกฤษฎีกาประกาศกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด ทั้งนี้นายแสวง ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะทุกพรรคขณะนี้รู้เท่ากันหมด
และ ตัวแทนจากพรรคชาติไทยพัฒนา ได้แก่ นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา เรียกร้องให้ กกต.ใช้ความกล้าหาญต่อการกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติของพรรคการเมือง แม้จะขัดกับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะขั้นตอนยืนยันสมาชิกพรรคควรให้โอกาสได้พบปะ หรือพูดคุยในแนวทางของพรรคด้วย รวมถึงขอให้กกต.เสนอไปยัง คสช.ให้ยกเลิกคำสั่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมทางการเมืองด้วย
ทั้งนี้นายแสวง กล่าวแบบติดตลก ว่า "เรารับไว้ แต่ทำไม่ได้ เพราะคนที่เสนอให้ทำนั้นก็ถูกทำให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว"