'สมชัย' จี้บิ๊กตู่ปลดกุนซือกฎหมาย-อัดอ่อนด้อยทำนายกฯสับสน

'สมชัย' จี้บิ๊กตู่ปลดกุนซือกฎหมาย-อัดอ่อนด้อยทำนายกฯสับสน

“สมชัย” แนะนายกฯ ปลดกุนซือกฎหมาย อัดอ่อนด้อยทำ “บิ๊กตู่” สับสนใครกำหนดวันเลือกตั้ง ด้านปธ.กกต.หารือ “วิษณุ” เตรียมถกพรรคการเมืองเก่า 28 มี.ค.

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 23 มีนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. ขอเวลาเก็บของ 3 วัน โดยวันนี้เป็นวันสุดท้าย ทำให้ตั้งแต่ช่วงเช้ามีสื่อมวลชนมาปักหลักรอทำข่าวจำนวนมาก พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจยังได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าสังเกตการณ์ ขณะเดียวกันสำนักงานกกต.ยังได้รับคำสั่งไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนขึ้นไปถ่ายภาพ โดยเฉพาะห้องทำงานของนายสมชัยและบริเวณโดยรอบที่นายสมชัยจะเดินอำลาเจ้าหน้าที่ ให้เหตุผลว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อความเรียบร้อย โดยได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานกกต.ไว้ให้

ทั้งนี้กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากคำสั่งมาตรา 44 ที่ทำให้สำนักงานกกต.ต้องระมัดระวังการแสดงท่าทีต่อกรณีดังกล่าวมากยิ่งขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้โดยธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักงาน เมื่อมีบุคคลที่พ้นจากตำแหน่งก็มักจะมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในส่วนนั้นสามารถร่วมให้กำลังใจหรือมอบดอกไม้อำลาได้ อย่างไรก็ดีมีผู้เข้าร่วมรับการอบรมหลักสูตรพัฒนาการเมืองการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.9) บางส่วนได้นำดอกไม้ไปมอบให้นายสมชัยเพื่อให้กำลังใจ เพราะส่วนหนึ่งที่นายสมชัยถูกปลดเนื่องมาจากการไปบรรยายเรื่องการเลือกตั้งให้พตส.9 รับฟังเมื่อวันศุกร์ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา

สมชัยสวน“บิ๊กตู่”เข้าใจผิด

ด้านนายสมชัย ให้สัมภาษณ์กรณีโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุถึงเหตุผลหนึ่งที่ คสช.มีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ กกต.ว่ามาจากการให้สัมภาษณ์ทำให้ประชาชนสับสนเรื่องผู้มีหน้าที่กำหนดวันเลือกตั้งว่า จากการให้สัมภาษณ์ของนายกฯ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของหน่วยงานกฎหมายของนายกรัฐมนตรี หรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกฯ เป็นอย่างยิ่งในประเด็น 1.ทำให้นายกฯ เข้าใจผิดว่า คสช.และ ครม.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้ง จากประโยคที่ว่า “ทำให้สับสนอลหม่านไปกันหมด เลือกอย่างนั้นอย่างนี้ ขอถามว่าเขาเป็นคนเลือกหรือ เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาวันเลือกตั้งหรือ ใครเป็นคนกำหนด รัฐบาลกับ คสช.ไม่ใช่หรือ หรือ กกต.เป็นคนกำหนด”

“ข้อเท็จจริงตามกฎหมายมาตรา 102 และ 103 ของรัฐธรรมนูญ ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาล และ กกต.คือ รัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง โดย กกต.ต้องประกาศวันเลือกตั้งว่าเป็นวันใดภายในห้าวันนับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เหตุผลที่เขียนกฎหมายให้แตกต่างจากในอดีตที่ให้รัฐบาลทำทั้งสองอย่างนั้น เพราะเห็นว่าควรให้ กกต.ที่เป็นอิสระเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง จะสามารถให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งนายมีชัยเป็นผู้ร่างเอง” นายสมชัยระบุ

นายสมชัย ระบุต่อว่า นอกจากนี้ในมาตรา 104 ยังให้อำนาจ กกต.ประกาศเลื่อนวันเลือกตั้งได้หากมีเหตุจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาในอดีต ที่การเลื่อนต้องเห็นชอบร่วมกันระหว่างนายกฯ กับประธาน กกต. และรัฐบาลไม่ยอมเลื่อน จนทำให้เกิดความเสียหายจากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ อย่างปัญหาเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557

ซัดฝ่ายกฎหมายบิ๊กตู่อ่อนด้อย

นายสมชัย ระบุต่อว่า 2.ทำให้นายกฯ ตัดสินใจใช้มาตรา 44 ในการปลดกรรมการองค์กรอิสระโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ตามมา จากประโยคที่ว่า “มันมีความจำเป็น ยอมรับว่ามีหน่วยงานเขาขอมา เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย ซึ่งเขาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำให้ทุกอย่างสับสนอลหม่าน” ประเด็นดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าวขาดการพิจารณาถึงผลที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบว่าการที่ชงให้คสช.ใช้มาตรา 44 กับองค์กรอิสระ โดยเฉพาะกกต. จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่มีทางได้รับการยอมรับจากสังคมโลกได้เลย เพราะกกต.จะขาดความเป็นอิสระ หากผู้มีอำนาจทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเอง

“คงไม่มีกกต.ใดกล้าที่จะไปตักเตือนหรือชี้ว่าคสช.ทำผิด เพราะเกรงว่าคสช.สามารถใช้อำนาจปลดคนที่เห็นต่างได้ ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกเดียวกันนี้ไปยังองค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิฯ หากมีกรณีรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนจะไม่กล้าทักท้วง ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจไม่กล้าส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ คตง. ป.ป.ช. อาจไม่กล้าตรวจสอบการทุจริตของรัฐ ไปจนถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอาจมีความเป็นอิสระน้อยลง เพราะทุกคนรู้ว่าคสช.สามารถใช้มาตรา 44 เพื่อปลดผู้เห็นต่างได้”

แนะใช้ม.44ปลดทีมงานกฎหมาย

อดีตกกต. ระบุอีกว่า 3.ความไม่ชัดเจนและอ่อนด้อยของหน่วยงานด้านกฎหมายของนายกฯ สะท้อนให้เห็นว่าบุคลากรของหน่วยงานทั้งหมดไม่มีแม้สักคนที่มีความสามารถในการตอบโต้หลักทางกฎหมายที่ถูกต้องกับคนคนเดียว ที่มิได้จบทางนิติศาสตร์โดยตรง แต่จบปริญญาตรีที่มีวิชากฎหมายแค่ 3 หน่วยกิต ถึงขนาดให้เขาไปสร้างความสับสนแก่สังคม ซึ่งไม่แน่ใจว่าใครสับสนกันแน่ จนต้องไปขอร้องนายกฯ ให้ปลดคนคนนั้นออก

“ถ้าผมกล่าวผิด ท่านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเชือดผมกลางอากาศสองสามรอบ แค่นั้นผมพูดไปก็ไม่มีคนเชื่อแล้ว แต่ทุกครั้งดูเหมือนคนของท่านจะพูดผิดมากกว่า ในทางกลับกัน หากผมบอกให้นายกฯ รู้ถึงความอ่อนด้อยและไม่ชัดเจนของหน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าวจนทำให้นายกฯ ต้องเข้าใจผิดและเสียหายแล้ว ก็สมควรใช้มาตร 44 ปลดหน่วยงานนั้นแทน และหากจะตั้งผมเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ผมก็ยินดี” นายสมชัยระบุ

ขอให้นายกฯคืนความเป็นธรรม

จากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. นายสมชัย ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานกกต.อีกครั้งกรณีโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีคำสั่ง คสช.ให้ตนเองยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่กกต. ว่าแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีที่ทำให้นายกฯ เข้าใจผิดว่า คสช.และครม.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้ง รวมทั้งระบุว่า หากข้อมูลจากที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯ ทำให้นายกฯ เข้าใจผิด นายกฯ ควรคืนความเป็นธรรมให้

ผู้สื่อข่าวถามว่าการคืนความเป็นธรรมที่ว่านั้น หมายถึงการปลดที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯ หรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าในการฟังสิ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นผลนั้นต้องฟังอย่างรอบด้าน เพราะบางครั้งการเสนอข้อมูลที่ผิดจะทำให้นายกฯ เข้าใจผิดได้ ยืนยันว่าไม่ได้ล้ำเส้นรัฐบาลและคสช.ในการพูดเรื่องวันเลือกตั้ง แม้การเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา คนที่กำหนดวันเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาล แต่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 102 และ 103 ได้ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาลและกกต. คือ รัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง โดยกกต.ต้องประกาศวันเลือกตั้งว่าเป็นวันใดภายใน 5 วันนับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ดังนั้นการที่หน่วยงานทางกฎหมายหรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรีให้ข้อมูลที่ผิดจึงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของหน่วยงานกฎหมาย จึงควรมีการคืนความยุติธรรมให้แก่ตนด้วย เพราะตนไม่ได้พูดอะไรที่ผิดกฎหมาย

ลั่นไม่เคยล้ำเส้น-พูดแต่เรื่องก.ม.

“แต่ไม่เป็นไร เพราะผมเก็บข้าวของหมดแล้ว ไม่ได้ประสงค์จะกลับไปเป็นกกต. พูดไปอย่างนั้น คงไม่ได้มีความหวังอะไร รวมถึงการพูดว่าจะไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายนั้น ท่านคงไม่แต่งตั้งผมหรอก พูดตามตรง ขณะเดียวกันผมก็ชี้ว่าถ้าหน่วยงานด้านกฎหมายมีความรอบรู้ด้านกฎหมายจริง เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แทนที่จะเสนอนายกฯ ให้ปลดผม ก็น่าจะออกมาโต้กันในเชิงมุมมองทางกฎหมายว่าผมพูดผิดอย่างไร มันจึงสะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานด้านกฎหมายที่เสนอให้ปลดผมนั้นไม่กล้ามาถกกัน ถ้าผมพูดผิดจริง ผมจะขอโทษต่อสาธารณะ” นายสมชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าการใช้มาตรา 44 เพื่อปลดนายสมชัยนั้น เป็นเพราะนายสมชัยไปล้ำเส้นรัฐบาลในฐานะผู้ตัดสินใจเรื่องโรดแม็พหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะพูดถึงเรื่องกฎหมายว่า มาตรา 102 และมาตรา 103 การกำหนดวันเลือกตั้งอยู่ที่กกต. ไม่ใช่รัฐบาล หน้าที่ใครหน้าที่มัน ถามนายมีชัยได้ ทุกคนเปิดกฎหมายมาก็พูดได้ทั้งสิ้นว่าหลักของกฎหมายเป็นอย่างไร การคาดการณ์ของตนก็เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนจนเตรียมตัวไม่ทัน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต.ที่จะต้องเตรียมจัดการเลือกตั้ง

‘โอ๊ค’ ข้องใจ ‘สมชัย’ทำอะไรขัดใจ

ด้านนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับอดีต กกต.สมชัย เตรียมแถลงถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่า เห็นข่าวนี้แล้วก็ใจหายนะครับ พี่สมชัย กกต.ซึ่งเคยประกาศตัว “เอียงเพื่อชาติ” ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะดันไปทำอะไรขัดใจท่านผู้นำเข้า

เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดเราคงทราบกันบ่ายนี้ สังคมคงจะได้ทราบเหตุผลของการปลดครั้งนี้ว่าพี่สมชัยทำอะไรไม่เหมาะสมจริง หรือว่าเกิดจากการไปสะกิดต่อมวิตกจริตอะไรของใครเข้า โดยส่วนตัวอย่างน้อยเหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้ทราบว่า สิ่งที่อดีตกกต.ผู้นี้ได้เคยพูด เคยกระทำ และเคยเอียง น่าจะเป็นการกระทำในหลักการของตนเอง ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเชลียร์ และเอาใจผู้มีอำนาจ จนไม่เป็นตัวของตัวเอง รายละเอียดเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร อยู่บนหลักการ หรือเอนเอียงไปเป็นมวยล้มต้มคนดู ผมจะรอฟังครับ

จ่อถกพรรคการเมืองเก่า28มี.ค.นี้

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีถึงคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ว่าจะปฏิบัติอย่างไรให้เป็นไปตามคำสั่งดังกล่าว เพื่อจะนำไปตอบข้อซักถามของนักการเมืองที่จะจัดประชุมพรรคการเมืองเดิมในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ซึ่งจะพูดคุยในประเด็นว่า พรรคการเมืองเดิมจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งนายวิษณุ ไม่ได้กำชับเรื่องใดเป็นพิเศษ ยืนยันว่า กกต.ไม่ได้กังวลต่อท่าทีของพรรคการเมืองในขณะนี้ และพร้อมที่จะตอบคำถามพรรคการเมืองทุกคำถาม ซึ่งไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องปลดล็อกคำสั่งคสช. เพราะเป็นอำนาจของคสช. ส่วนพรรคการเมืองจะสามารถประชุมใหญ่ได้เมื่อไหร่นั้นจะต้องดูในข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะคำสั่ง คสช.ข้อที่ 8 เมื่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มีผลใช้บังคับก็จะมีการหารือเรื่องการปลดล็อกคำสั่ง คสช.

‘พท.’ นัดเช็กชื่อสมาชิก 4 เม.ย.

วันเดียวกันนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า กรณีกลุ่มวาดะห์จะแยกตัวออกไปจากพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภาในฐานะแกนนำกลุ่มวาดะห์ว่าจะแแยกตัวออกไปจริงหรือไม่ หรือจะไปเฉพาะบางคน เรื่องนี้จะชัดเจนก็ต่อเมื่อพ้นวันที่ 30 เมษายน เป็นวันครบกำหนดในการมายืนยันเป็นสมาชิก หากใครไม่มาก็ต้องพ้นสมาชิกภาพไปโดยปริยาย

“กรณีต้องรอความชัดเจน เพราะยังไม่มีใครในกลุ่มวาดะห์มาบอกกับผมโดยตรง แล้วกลุ่มวาดะห์มีกี่คน อาจคิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นก็ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคกันมาก็ต้องมีความผูกพัน หากเขาตัดสินใจอย่างไรก็ต้องมาบอกกล่าวเหตุผลกัน แต่เราก็เคารพและยอมรับในการตัดสินใจของทุกคน” นายภูมิธรรมกล่าว

อย่างไรก็ตามในวันที่ 4 เมษายน พรรคเพื่อไทยได้นัดหมายให้อดีตส.ส.เข้ามายืนยันสมาชิกพรรคและถือโอกาสให้อดีตส.ส. สมาชิกพรรคเข้ารดน้ำดำหัวหัวหน้าพรรครวมถึงผู้ใหญ่และคนสำคัญของพรรค

เบิกตัว ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ขึ้นศาล

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายในคดีก่อการร้าย หมายเลขดำที่ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับพวกรวม 24 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย และข้อหาอื่นๆ กรณีกลุ่มนปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ทั้งนี้พนักงานอัยการได้นำนายวิโรจน์ ทูคำมี เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน อยู่ในคณะพนักงานสอบสวน พยานโจทก์ขึ้นซักค้าน โดยครั้งนี้เป็นนัดซักค้านพยานโจทก์ปากนี้เป็นครั้งที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. และนายขวัญชัย ไพรพนา จากเรือนจำเพื่อมาฟังการพิจารณาพร้อมกับจำเลยคนอื่นๆ โดยนายจตุพรที่มีร่างกายซูบผอมลงเเต่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือทักทายสื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมารอให้กำลังใจ

โดนอีกคุก 26ปี 6 เดือน“ลุงวัฒนา”

ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาคดีพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 ยื่นฟ้องนายวัฒนา ภุมเรศ อดีตวิศวกรไฟฟ้ากฟผ. เป็นจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำ ประกอบ มี และใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย กรณีนำระเบิดไปวางทางเท้าติดตู้โทรศัพท์สาธารณะ ปากซอยราชวิถี 24 ซึ่งการระเบิดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน และทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะนั้นเสียหาย กระจกแตก เมื่อปี 2550 คดีนี้เป็นสำนวนที่ 7

ศาลพิเคราะห์แล้วรับฟังได้ว่า ในวันเวลาตามพยานหลักฐานที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องมีความเชื่องโยงทั้งวัตถุระเบิดที่ตรวจพบภายในบ้าน และวัตถุระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุ มีการประกอบด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นลักษณะเดียวกันกับ 6 คดีที่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งจำเลยมีประวัติการศึกษาและการทำงานรวมถึงมีความเชี่ยวชาญด้านการประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงให้การรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวน และประกอบระเบิดให้พนักงานสอบสวนดูได้ ทำให้เชื่อได้ว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้เสกสรรปั้นแต่ง จึงไม่มีเหตุสงสัยว่ากลั่นแกล้ง จึงพิพากษาจำคุก ฐานประกอบวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตไว้ให้ครอบครองไว้ จำคุก 3 ปี สารภาพเหลือ 1 ปี 6 เดือน ฐานใช้วัตถุระเบิดกับพยามฆ่าให้จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 25 ปี รวมจำคุก 26 ปี 6 เดือน