วงเสวนา 'อนาคตประเทศไทย' เห็นพ้องไม่เอารัฐประหาร

วงเสวนา 'อนาคตประเทศไทย' เห็นพ้องไม่เอารัฐประหาร

วงเสวนา “อนาคตประเทศไทย” เห็นพ้องไม่เอารัฐประหาร “สุดารัตน์” ชี้ นักการเมืองต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่หักหลัง ปชช. “อนุทิน” ระบุ หลัง ลต. ส.ส. ต้องผนึกกำลัง เพื่อป้องกันรัฐประหาร “หลานมาร์ค” ประกาศชัดพร้อมลงร่วม ปชป.

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 22 มี.ค. 61 ที่บิ๊กซี ราชดำริ นายสุทธิชัย หยุ่น อดีตผู้บริหารสื่อเครือเนชั่น จัดเสวนา “สุทธิชัย อะคาเดมี่” ในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยไปทางไหน” โดยมีผู้ร่วมพูดคุยประกอบด้วย คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม หลายชายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่

โดยคุณหญิง สุดารัตน์ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงปัญหาเราต้องออกจากหล่มที่ติดอยู่ 10 กว่าปีให้ได้ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายและทุกคน ราไม่สามารถทำคนเดียวได้เหมือนกับรถติดหล่มที่ต้องมีคนช่วยกันดันรถ โดยต้องแก้ไขที่ปัจเจก และระบบ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม ช่วงที่ผ่านมาเราเสียโอกาสไปมาก แต่ตอนนี้เราต้องแข่งขันประเทศอื่นๆ และต้องวิ่งให้ทันกระแสโดยเฉพาะกระแสเทคโนโลยี วันนี้คนรุ่นใหม่คืออนาคต ต้องช่วยกันแก้ปัญหา และไขว่คว้าโอกาส นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ระบบราชการมีการโกงเบี้ยคนจนเมื่อมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เราก็ต้องนำมาใช้แก้ปัญหาได้ คุณหญิง สุดารัตน์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าวันนี้รัฐประหารแก้ไขปัญหาประเทศได้ ประเทศไทยคงเจริญไปแล้ว อะไรที่ฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติจะนำเนินไปไม่ได้ เรื่องรัฐประหารไม่ควรมีแล้วในประเทศไทย แม้ระบอบประชาธิปไตยแม้ไม่ใช่ระบบที่ดีที่สุด แต่ถือว่าให้โอกาสประชาชนมากที่สุด ทุกคนต้องปรับปรุงและปฏิรูปตนเอง นักการเมืองต้องเห็นประชาชนเป็นนาย ไม่ทำร้ายประชาชน ทั้งนี้การที่บอกว่านักการเมืองเป็นคนเลวทั้งหมด แล้วอย่างนี้จะมีคนดีที่ไหนอยากมาลงการเมือง ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนแสวงหาคนดีคนเก่งมาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน เราต้องอย่าปล่อยให้การยึดอำนาจมาฉุดรั้งประชาธิปไตย ต้องให้ประชาชนเป็นตัดสินในการเลือกตั้ง

ด้านนายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้ทุกคนสำนึกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า เราต้องคิดไว้ว่าเราผ่านเซ็ตซีโร่แล้ว อย่ามาคิดว่าใครมีอิทธิพลกับใคร เพราะพวกเรานักการเมืองไม่มีใครอยู่กับศูนย์อำนาจ สมัยก่อนมีการใช้อิทธิพลทางอำนาจเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย แต่ตอนนี้ทุกคนเท่าเทียมกัน เราแข่งกันที่นโยบายแต่ละพรรค ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและกกต.ต้องไปปราบผู้มีอิทธิพล

ทั้งนี้ ทุกคนต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง เคารพกติกาอย่างก็จะไปได้ บ้านเมืองก็จะเข้าสู่โหมดปกติ ใครทำหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตนเองไป ขอโทษที่ตนมองโลกสวย คงต้องวันนี้ต้องดีกว่าวันหน้า ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างผิดทั้งหมด รัฐประหารก็ผิด แต่จะไม่มีทางเกิดสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าประชาชนคนไทยไม่ยอมให้มันเกิด เรายังไม่สามารถทำให้คนในประเทศยึดมั่นคำว่าประชาธิปไตยได้ทั้งหมด ทหารปฏิวัติไม่น่ากลัวเท่าประชาชนไม่ยอม ไม่มีใครตายจากการเมือง ถ้าเราอยู่ในกติกา ทั้งนี้ถ้านักการเมืองต่างเห็นว่า กติการัฐธรรมนูญปัจจุบันมีปัญหา ส.ส. ที่เป็นตัวเทนของประชาชน ก็ควรที่จะร่วมมือกันแก้ไข ถ้าประชาชนเห็นพ้องด้วย อำนาจไหนจะมาค้าน

“ถ้าเราเห็นว่าเรามัวแต่เห็นว่าคนพรรคเพื่อนๆเป็นศัตรูกันก็คงจำดำนเนิการยาก เราต้องผนึกกำลังกันไว้ก่อนเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออก ไม่ให้เข้ามาได้ ตนเชื่อว่าความสามัคคีของคนในชาติ การเคารพสิทธิกฎหมาย จะทำให้การรัฐประหารเกิดขึ้นไม่ได้” นายอนุทินกล่าว

ขณะที่นายพริษฐ์ กล่าวว่า ความฝันของตนคืออยากเห็นประเทศไทยที่มีความหลากหลาย และลดความเหลื่อมล้ำ คนไทยมีอิสระภาพแสดงความคิดเห็น มีอิสระภาพเลือกอาชีพ เราต้องการให้ประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย ในส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำนั้น แม้ว่าอยากให้สังคมมีความหลากหลาย แต่ต้นทุนชีวิตคนไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นรัฐต้องรื้อโครงสร้างเพื่อสร้างโอกาสโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ตนเห็นด้วยว่าระบอบปกครองประเทศไทยไม่สนับสนุนรัฐประหาร แต่ตนเชื่อมั่นในระบอบเสรีนิยม ทั้งนี้ ในอนาคตตนจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการทำงานกับพรรคเก่ามีข้อดีคือเราได้เห็นทั้งสองด้าน ทั้งจากคนที่มีประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ ซึ่งอนาคตไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ฟังเสียงแนวทางผู้ใหญ่เลย ทั้งนี้ตนเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่หนักแน่นในเสรีนิยมประชาธิปไตย หลายๆคนอาจจะมองว่าพรรคนี้เป็นอนุรักษ์นิยมหรือไม่ ตนจะทำให้ภาพลักษณ์นั้นหายไป นโยบายในอนาคตจะต้องอิงหลักวิชาการ และงานวิจัย ซึ่งตนเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะมีพื้นที่ในพรรค เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ยืนยาวถึง 70 ปี

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอกชัย ไชยนุวัติ นักวิชาการกฎหมายอิสระ ได้ลุกขึ้นตั้งคำถาม ถามหาความรับผิดชอบ ในกรณีที่มีประชาชนเสียชีวิตหน้าบิ๊กซี ราชดำริในการชุมนุมเมื่อปี 57 ว่า ทำให้บรรยากาศในห้องเสวนามีความตึงเครียด โดยผู้ดำเนินรายการพยายามตัดบท แต่ทางนายเอกชัยขอยืนยันคำถามเดิม จนนายพริษฐ์ ตอบคำถามว่า เวลามีคนสียชีวิตทุกคนก็เสียใจ เรื่องในอดีตตนไม่ทราบ เพราะขณะนั้นตนศึกษาอยู่ต่างประเทศ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีหน้าที่ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต หากแต่มาพูดถึงอนาคต ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์มีใครเสียสละมากเกินไปเหมือนอย่างที่นายธนาธรบอกพร้อมยอมตาย เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา