ไทยออยล์คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน 19 - 23 มีค. 61

ไทยออยล์คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน 19 - 23 มีค. 61

ตลาดน้ำมันดิบถูกกดดัน จากอุปทานจากสหรัฐ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 59-64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 64-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (19 – 23 มี.ค. 61)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มอ่อนตัวลง เนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ แซงหน้ารัสเซีย และกลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก รวมถึงแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันดิบปรับตัวลดลงในช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี นอกจากนี้ ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มี.ค. 61 นี้ ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปีนี้หรือไม่ โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบที่อาจตึงตัว จากเหตุความไม่สงบในลิเบียที่ยังคงยืดเยื้อ แม้ว่าลิเบียจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Feel ได้ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 61 ก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

  • ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับจุดคุ้มทุนของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐ โดยล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ปรับเพิ่มการคาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐ ปี 2561 ในเดือน มี.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2561 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 11.17 ล้านบาร์เรลวัน ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐ แซงหน้ารัสเซีย และกลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก ในขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ในเดือน เม.ย.ของสหรัฐ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นราว 0.13 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดือน มี.ค. สู่ระดับ 6.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
  • ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลดลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 9 มี.ค. 2561 ปรับเพิ่มขึ้น 0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 430.9 ล้านบาร์เรล
  • ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศลิเบียที่ยังคงยืดเยื้อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ส่งผลกระทบให้ลิเบียต้องประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) และหยุดดำเนินการผลิตจากแหล่งน้ำมันดิบ El Feel ซึ่งมีกำลังการผลิตราว 70,000 บาร์เรลต่อวัน แม้ว่าลิเบียจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในการเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 61 ก็ตาม
  • จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มี.ค. 61 ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้หรือไม่ โดยล่าสุด CME Group วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่านักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. นี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือน มิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในสกุลเงินสหรัฐ มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น และกดดันราคาน้ำมันดิบ
  • ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านของจีน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ และดัชนีภาคการผลิต (Markit PMI) ของสหรัฐ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีภาคการผลิต (Markit PMI) ของยูโรโซน

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 – 9 มี.ค. 61)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.30 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 62.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.72 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 66.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบอ่อนตัวลดลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคในการปรับลดกำลังการผลิต

------------------------------------

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)          

         โทร.02-797-2999