'สมคิด' กำชับกรุงไทย สนองรัฐ-อย่าห่วงกำไร

'สมคิด' กำชับกรุงไทย สนองรัฐ-อย่าห่วงกำไร

“สมคิด” ตรวจเยี่ยมกรุงไทย มอบนโยบายปล่อยสินเชื่อสนองโครงการรัฐอย่าห่วงกำไรลด “ผยง” ตั้งเป้าปล่อยกู้เอสเอ็มอี 4-5 หมื่นล้านบาท คุมหนี้เสียไม่เกิน 4%

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากมอบนโยบายให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ต้องขอบคุณธนาคารกรุงไทยที่ได้ให้ร่วมมือกับรัฐบาลในนโยบายต่างๆ แม้ในปีนี้กำไรจะพร่องไปบ้าง แต่ได้บอกผู้บริหารไปว่าแม้การสร้างผลกำไรจะสำคัญแต่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เพราะต้องการให้เข้ามาช่วยสนองนโยบายรัฐบาล ทั้งในเรื่องการช่วยเหลือและพัฒนาเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ที่ควรเข้าไปดูแลตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนสามารถปล่อยเงินทุนได้ ไม่ใช่ดูแลแค่ด้านสินเชื่อเพียงอย่างเดียวเหมือนในปัจจุบัน

รวมทั้งต้องการให้มีนโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุ และให้ช่วยวางระบบการจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ เพื่อลดปัญหาการทุจริต เพราะในอนาคตรัฐยังต้องจ่ายสวัสดิการอีกหลายด้านให้กับประชาชน ส่วนในการสนับสนุนเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)นั้นอยากให้ธนาคารกรุงไทยเข้าไปเป็นฐานสำคัญ

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากการรับจ่ายเงินผ่านบัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อยแล้ว ธนาคารกรุงไทยวางระบบเทคโนโลยีรองรับระบบสวัสดิการประเภทอื่นเพิ่มตามนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ คาดว่าพร้อมใช้ระบบในอีก 4 เดือนข้างหน้า ส่วนการขยายฐานลูกเอสเอ็มอีตามนโยบายภาครัฐนั้น ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อเอสเอ็มอีปีนี้ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท

แผนงานในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อรวมเติบโตที่ 4-6% รักษาหนี้เสียไม่เกิน 4% เท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหนี้เสียมีโอกาสลดลงได้ หากผู้ประกอบการมีความรู้ในการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงภาครัฐเป็นหน่วยงานกลางเข้ามาช่วยเหลืออย่างบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)

สำหรับความคืบหน้าการบริการจัดการหนี้เสียในส่วนของบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ หากสามารถขายทรัพย์สินและนำเงินมาใช้หนี้ได้ก็บันทึกเป็นกำไรได้เลย เพราะธนาคารได้มีการตั้งสำรองหนี้เสียไว้หมดแล้ว ขณะที่บริษัท เอ็นเนอร์ ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH ขณะนี้อยู่ในขบวนการของศาลและดีเอสไอในการพิจารณา
ที่ผ่านมาธนาคารทยอยตั้งสำรองเพิ่ม ซึ่งปกติตั้งสำรองปกติเฉลี่ยต่อเดือนที่ 1 พันล้านบาท และสำรองพิเศษเฉลี่ยต่อไตรมาสอีก 3 พันล้านบาท รวมทั้งปีอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งการตั้งรองพิเศษดังกล่าวยังไม่รวมมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ที่คาดว่าจะชัดเจนในกลางปี 2561

นายผยง กล่าวอีกว่า จากกระแสคนไทยที่นิยมเที่ยวต่างประเทศปีละ 7 ล้านคน ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 7,000 บาทต่อครั้ง ธนาคารจึงเปิดบัตรเดบิตใหม่ Krungthai Travel Card บัตรแรกบัตรเดียวพ่วงบริการให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศพิเศษสุด สะดวกไม่ต้องพกเงินสด เริ่มให้บริการต้นเดือนเม.ย.นี้ คาดว่าปีแรกมีฐานลูกค้า 2-5 หมื่นราย และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเกิน 7 พันบาทต่อครั้ง จะเปิดให้บริการเม.ย.นี้