MORNING CALL ACTION NOTES (15 มี.ค.61)

MORNING CALL ACTION NOTES (15 มี.ค.61)

กังวลสงครามการค้า

ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวในกรอบอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่อ่อนตัวจากความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลสหรัฐในช่วงนี้ที่อาจส่งผลต่อนโยบายต่างประเทศ และราคาน้ำมันอ่อนตัว แต่ยังมีปัจจัยบวกในประเทศจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โดยรวม SET Index หนุนโดยกลุ่ม FOOD COM ส่วน HELTH BANK มาหักล้างบางส่วน ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,813.40 จุด (+3.50 จุด) Volume 7.82 หมื่นลบ.โดย Foreign Net +3,998.78 ลบ.  TFEX Net +6,635 สัญญา ตราสารหนี้ +4,946.48 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

+น้ำมันดิบปิดบวกหลัง EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงมากกว่าคาด

+ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.

-ดาวโจนส์ปิดร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน

-ยอดค้าปลีกสหรัฐร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2555

-ยูโรสแตท เปิดเผยว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนร่วงลง 1.0% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน แต่ดีดตัวขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี 

+/- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 5.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นสู่ 31.12 บาท/USD

ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้รับปัจจัยลบจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับล ง ตัวเลขศก.สหรัฐที่แผ่วลง และ Fund Flow ผันผวน โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ดังนั้น คาด SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,800-1,820 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   เก็งกำไรกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน

- CPF GFPT จีนรับรองมาตรฐานโรงงานผลิตไก่ไทย

- ERW ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรองและนักท่องเที่ยวจีน

- หุ้นปันผลเด่น ASEFA BAFS CPT CRD FTE GLOW KKP NYT SIS SPRC TISCO QH PDI PATO BR PL AIT TKS AP KIAT SPRC

- BEC เรตติ้งรวมปรับขึ้นยกแผงช่วง prime time ขายโฆษณาขยับเป็น 100% จากเดิม 85%  อัตรานาทีละ 480,000 บาท

- หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จากค่าเงินบาทแข็งค่าสู่ 31.12 บาท/$ (ต้นปี 17 อยู่ที่ 34 บาท/$) และราคาทองแดงทรงตัวในระดับสูง 6,924 $/Ton(ต้นปี 17 อยู่ที่ 5,600 $/Ton)

หุ้นแนะนำพิเศษ

HMPRO (ราคาปิด 14.60 Bloomberg Consensus 14.81)

  • ปี 60 มีกำไรสุทธิ 4,886.39 ล้านบาท +18%YoY เนื่องจากรายได้รวม +5% เป็น 6.4 หมื่นล้านบาท CAGR 5 ปี เท่ากับ 8.4% รายได้ในการให้เช่าพื้นที่ +4% อัตรากำไรขั้นต้น 26.45% ดีขึ้นจาก 25.5% ในปีก่อน เนื่องจากการปรับเปลี่ยนส่วนผสมสินค้า house brand ปรับเพิ่มเป็น 19% จาก 18% รวมถึงธุรกิจเมกาโฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียมีอัตรากำไรดีขึ้นจากการได้ผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) มากขึ้น
  • ปี 61รายได้ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากแผนเปิดสาขาใหม่ 1-2 สาขา โฮมโปรขนาดเล็ก 8 สาขา ส่วนแผนเปิดเมกาโฮมและสาขาในต่างประเทศขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน คาดปลายปีนี้มีโฮมโปร 83 สาขา โฮมโปรขนาดเล็ก 11 สาขา เมกาโฮม 12 สาขา สาขาในมาเลเซีย 6 สาขา
  • ความเห็น เรามีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของ HMPRO การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วสนับสนุน SSSG เติบโตต่อเนื่อง Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 61 ราว 5.57 พันล้านบาท +14% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 39 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 36 เท่า แนะนำ ทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

หุ้นมีข่าว   

·         HARN (ราคาปิด 3.06 บาท ซื้อ ราคาเหมาะสม 4.2 บาท) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เติบโต 10 - 12%YoY โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากอุปกรณ์และระบบดับเพลิง 45% ระบบทำความเย็น 23% การพิมพ์สามมิติด้านการแพทย์และชีวภาพ 23% และระบบปรับอากาศและระบบสุขาภิบาล 9% Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 380.9 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรับงานเพิ่ม 60 - 70 ล้านบาท ปีนี้ตั้งงบลงทุนที่ 120 ล้านบาท แบ่งป็นสร้างคลังสินค้า 80 ล้านบาท ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมลงทุนหรือเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่จะเข้ามาต่อยอดธุรกิจดิจิทัลพริ้นติ้งและธุรกิจระบบปรับอากาศ (ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น)

·        ฝ่ายวิจัยคาดว่ากลุ่มสินค้าที่จะสร้างการเติบโตหลักทั้งรายได้และกำไร น่าจะมาจากการพิมพ์ ซึ่งมีทั้งส่วนเครื่องพิมพ์ดิจิตอล และสามมิติที่บริษัทมุ่งเน้นเจาะกลุ่มการแพทย์ เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่บริษัทได้มีการตั้งแผนกแยกออกมาเพื่อให้บริการโดยเฉพาะซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดที่กว่า 44.4% เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 34% นอกจากนี้ Backlog ปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนต่อประมาณการแล้วราว 27% และค่าเงินที่ยังแข็งค่า YoY น่าจะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวระดับสูงได้ จึงยังคาด HARN จะมีกำไรสุทธิเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%YoY อีกทั้งสถานะทางการเงินดีเยี่ยมด้วย D/E Ratio เพียง 0.2 เท่า คงคำแนะนำ "ซื้อ"

·        ประเด็นบวกรับเหมา คมนาคม เล็งนำโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท เข้าครม.ภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ ส่วนโครงการรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดเข้าเดือนเมษายน ด้านรฟท.ชงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2 แสนล้านบาท เข้าวันที่ 20 มีนาคมนี้ และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ในส.ค.นี้ คาดรู้ผลพ.ย.61

·        ความเห็น เรายังชอบ CK มากกว่า STEC แม้ว่าการรับรู้รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีก่อนเนื่องจากการเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ล่าช้าซึ่งคาดว่ากระทบต่อผลประกอบการไม่มากนัก ขณะที่ STEC ถูกกดดันจากการตั้งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพิ่มขึ้นทำให้กดดันอัตรากำไรขั้นต้นปี 61

·        KTB (ราคาปิด 19.90 Bloomberg Consensus 21.20) ผู้บริหารเปิดเผยว่าเงินที่ได้จาก AQ จะบันทึกกำไรขายที่ดินทันทีไม่มีนำกลับไปตั้งสำรองอีก  เนื่องจากธนาคารได้มีการตั้งสำรองหนี้เสียกรณี AQ ไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่มีภาระในเรื่องดังกล่าว ส่วนเม็ดเงินกำไรจะเป็นเท่าใดต้องรอให้ผลการขายทอดตลาดที่ดิน 4.3 พันไร่ออกมาก่อน (ที่มา ข่าวหุ้น)