สร้าง 'อุดรธานี' เป็นพื้นที่ต้นแบบ ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย..สู่การตายดี
สานพลังเครือข่ายแพทย์ พยาบาล นักกฎหมาย สร้าง "อุดรธานี" เป็นพื้นที่ต้นแบบ ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย...สู่การตายดี
ทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองของโรงพยาบาลอุดรธานีกว่า 20 คน นั่งล้อมวงหารืออย่างเคร่งเครียดร่วมกับครอบครัวผู้ป่วย เพื่อวางแผนดูแล “อ้อม” คนไข้รายใหม่ที่เข้ารับการรักษา โรคมะเร็งเต้านม ขณะตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน เธอปฏิเสธการรักษาด้วยเคมีบำบัดเพราะเกรงผลกับลูกน้อยในครรภ์ แต่ยอมรับการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติอย่างการประคบสมุนไพรและนวดเพื่อผ่อนคลาย
ในช่วง 1 เดือนก่อนถึงกำหนดผ่าคลอด แผลบริเวณเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น สร้างความเจ็บปวดพร้อมๆ กับอาการเหนื่อยหอบรุนแรง เพราะเนื้อร้ายแพร่กระจายไปยังปอด อ้อมแข็งใจต่อสู้กับความเจ็บปวด จนกระทั่งครรภ์มีอายุครบ ๘ เดือน ลูกสาวตัวน้อยก็ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย
อ้อมมีโอกาสได้ “เกี่ยวก้อย” นิ้วมือน้อยๆ เป็นดั่งสัญญาให้ลูกอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปอย่างเข้มแข็ง...แม้ไม่มีเธออยู่ด้วยก็ตาม
“ขออยู่ต่ออีกสักเดือน” อ้อมบอกทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองของโรงพยาบาลอุดรธานี และยอมเข้าสู่การรักษาด้วยเคมีบำบัดหลังจากนั้น เพื่อยืดเวลาอันแสนสั้น ดูแลลูกน้อยก่อนต้องจากโลกนี้ไป
แม้จะให้นมลูกไม่ได้ แต่เธอเฝ้าดูในยามหลับและตื่น มีเวลาอัดคลิปวิดีโอพูดคุยกับลูก เขียนจดหมายถึงทุกๆ วัน เป็นบทบันทึกให้รู้ว่า “แม่รักลูกเพียงใด” อ้อมยังอัดคลิปขอบคุณทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลอุดรธานี และเชิญชวนให้ผู้ป่วยใช้เวลาที่เหลืออันน้อยนิดกลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวที่รักเราและเรารัก มากกว่าใส่ท่อช่วยหายใจจนวินาทีสุดท้ายอย่างโดดเดี่ยว ก่อนที่อ้อมจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบเมื่อเดือนกันยายน 2558 โดยมีลูกสาววัย 1 เดือน 10 วัน กำลังหลับตาพริ้มนอนเคียงข้าง
เรื่องราวของแม่ผู้เข้มแข็งถูกเล่าผ่าน “พี่ยอม” พวงพยอม จุลพันธุ์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลอุดรธานี ครั้งแล้วครั้งเล่าในเวทีเสวนาต่างๆ เพื่อรณรงค์การ “ตายอย่างสงบ” และสอนน้องๆ พยาบาลทั้งในโรงพยาบาลอุดรธานี และโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้เห็นความจำเป็นและเข้าใจการดูแลแบบประคับประคอง รวมถึงเห็นความหมายของ “การตายดี”
ปัจจุบัน มีทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองโรงพยาบาลอุดรธานี เพิ่มขึ้นเป็น 30 คน ได้รับการยอมรับจากแพทย์แผนกต่างๆ มีการจัดตั้ง Pain clinic และ Palliative care clinic สร้างระบบรองรับและกระบวนการเยี่ยมคนไข้ระยะสุดท้าย ขณะที่โรงพยาบาลอื่นๆ ในพื้นที่เขต ๘ ครอบคลุม ๗ จังหวัดในภาคอีสาน ต่างมาเรียนรู้งานจากที่นี่และรับประสานส่งต่อคนไข้
พี่ยอม บอกว่า งานของเธอยังไม่จบ เพราะคนไข้ระยะท้ายในปี 2560 จำนวน 720 รายรออยู่ แม้จะเพิ่มขึ้นมากจากปี 2554 ที่มีเพียง 54 คน แต่เชื่อว่ายังมีคนไข้ที่ตกหล่น ไม่ถูกนำมาเข้าระบบการดูแลแบบประคับประคองเพื่อไปสู่ภาวะ “ตายดี” อีกมาก
ด้าน พญ.ปิยฉัตร วรรณาสุนทรไชย แพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลอุดรธานี ในฐานะประธานทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง เขตบริการสุขภาพที่ 8 เห็นด้วยกับการยกระดับขับเคลื่อนแนวทาง “ตายดี” โดยกล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไม่ได้หมายถึงมิติทางจิตใจอย่างเดียว แต่ยังรวมการลดความเจ็บปวดทางร่างกาย เช่นการเข้าถึง “มอร์ฟีน” และทำให้จากไปอย่างสงบด้วย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ระดับนโยบาย ทางทีมงานฯ จึงร่วมกันไปพบผู้บริหารของโรงพยาบาลอุดรธานีให้เห็นประโยชน์ตรงนี้ และยอมจ่ายยามอร์ฟีนออกนอกโรงพยาบาลเพื่อระงับปวดที่บ้าน สิ่งสำคัญคือช่วยลดภาระให้กับคนไข้ที่อยู่ห่างไกลและยากจน ไม่มีค่ารถมาโรงพยาบาลได้บ่อยครั้งอีกด้วย
“ยอมรับว่าแพทย์อีกหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะไม่มีการเรียนการสอนเรื่องการดูแลประคับประคองผู้ป่วยระยะท้าย ซึ่งต้องอาศัยศาสตร์ที่หลากหลาย รวมถึงการสื่อสารกับคนไข้ หากปรับกระบวนการเรียนการสอนใหม่และใส่เรื่องนี้เข้าไปด้วย จะทำให้การตายดีและระบบการรักษาแบบประคับประคองเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน”
ในเวทีงานสัมมนาวิชาการ “การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองและสิทธิการตายดีตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ” ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลอุดรธานี และสำนักงานอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงพยาบาลอุดรธานี โดยมีแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขในพื้นที่เขต 8 ทั้ง 7 จังหวัด รวมถึงนักสังคมสงเคราะห์ นักกฎหมาย และบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมกว่า 250 คน มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมหลักการดูแลประคับประคองผู้ป่วยระยะท้ายอย่างละเอียดเพื่อปลดล็อกความกังวลต่อความขัดแย้งในประเด็นของกฏหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ
ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า การทำตามความต้องการของผู้ป่วยที่เขียนหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าว่าไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือ Living Will ไว้ จะทำให้แพทย์หรือพยาบาลหลุดพ้นจากความรับผิดทั้งปวง ในทางกลับกันหากมีหนังสือแสดงเจตนาฯ นี้ แต่แพทย์ พยาบาลไม่ทำตามเจตนาของผู้เขียนกลับจะเป็นปัญหามากกว่า เพราะเท่ากับเป็นการยัดเยียดความทรมานให้ผู้ป่วยจากการรักษาด้วยเครื่องไม้เครื่องมือในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต อันถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมศาสตร์ธรรมรักษ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้รณรงค์เรื่องการตายดี และ Living Will มาอย่างต่อเนื่อง ได้ใช้เวทีเสวนาครั้งนี้อธิบายปัญหาค้างคาใจของแพทย์ พยาบาล และนักกฎหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้ Living Will ไม่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า
“แพทย์ถูกสอนให้ต้องรักษาจรรยาบรรณถึงที่สุด ขณะที่การทำ Living Will แสดงเจตนาขอตายตามธรรมชาติ ก็ไม่ได้แปลว่าแพทย์ต้องหยุดรักษา เพราะการดูแลแบบประคับประคองยังคงมีอยู่ ดังนั้น Living Will จะเกิดและใช้ได้ผลจริง แพทย์พยาบาลต้องให้เวลากับพูดคุยทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผู้ป่วยยังสามารถตัดสินใจเองได้ รวมถึงการพูดคุยกับญาติเพื่อยินยอมให้หมอทำตามเจตนานั้น”
ด้าน นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ย้ำว่า มาตรา 12 ภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ ระบุถึงสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้า กรณีไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตนเอง ซึ่งมาตรานี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อปรับสมดุลในการรักษาผู้ป่วยให้เดินตาม “ทางสายกลาง” และตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมทั้งช่วยลดภาวะการล้มละลายของผู้ป่วยจากการรักษาในวาระสุดท้าย และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อการจากไปอย่างมีความสุขอีกด้วย
“เทคโนโลยีทางการแพทย์มีข้อดีที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการรักษาโรค แต่การใช้เทคโนโลยีสู้กับโรคโดยไม่มีขีดจำกัด จนลืมคิดไปว่าสู้แล้วแพ้หรือชนะ และชนะแบบไหน คนป่วยมีคุณภาพชีวิตอย่างไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต รวมถึงจะจัดการอย่างไรกับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากจากการรักษาในช่วงสั้นๆ นี้”
นพ.พลเดช ยอมรับว่า แนวทางการตายดีและการที่จะทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของการทำ Living Will เป็นเรื่องท้าทาย แต่ สช. จะต้องเดินหน้ารณรงค์ ทำความเข้าใจกับประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ของสังคม เพื่อการเดินทางไปสู่วาระสุดท้ายอย่างมีคุณภาพและตายอย่างมีศักดิ์ศรี ตลอดจนการทำความเข้าใจต่อมุมมองเรื่อง “การดูแลแบบประคับประคอง” ให้ตรงกันต่อไป