เปิดใจ “อ.สายไหม ไชยศิรินทร์" ในวันที่ถูกสังคมดราม่า "รังแกลูกศิษย์ตัวเอง"
“ตอนนั้นเราเพียงไปไกล่เกลี่ยเรื่องความกังวลใจของนิสิต เราไม่ได้ไปเกี่ยวว่าให้นิสิตไปขอโทษเพื่อให้ฝึกงานต่อ ถึงเราไม่ขอโทษทางศูนย์เขาก็ยินดีให้เราฝึกต่ออยู่แล้ว เมื่อแนะนำให้กราบขอโทษ ก็มีนิสิตเข้ามากราบที่ตักบ้าง ที่อกบ้าง ก็มีการโอบกอด ร้องไห้กัน ตื้นตันใจ ส่วนปณิดา อาจารย์ไม่แน่ใจว่าเขากราบที่ไหนบ้าง”
“โดยส่วนตัวแล้ว อาจารย์กับน้องแบมสนิทกันมาก รู้จักกันมากพอสมควร อาจารย์เป็นคนที่สอบสัมภาษณ์คัดเลือกน้องแบมเข้ามาเรียน ช่วยเหลือในการเรียน การทำกิจกรรมต่าง ๆ แม้กระทั่งให้แบมขับรถไปรับไปส่งที่บ้านอาจารย์ ซึ่งตอนนี้อาจารย์รู้สึกเสียใจและแปลกใจว่าทำไมเด็กที่เราสนิทกันอย่างดี ทำไมเขาเข้าใจเจตนาอาจารย์ผิดไป” นี่คือคำพูดของ นางสายไหม ไชยศิรินทร์ หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่เปิดเผยความในใจครั้งแรก หลังจากถูกกระแสสังคมกระหน่ำโจมตีมาตลอดระยะเวลาเดือนเศษ กรณีที่ลูกศิษย์คือ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือ น้องแบม ที่ออกมาเปิดโปงเรื่องการทุจริตเงินคนจน ของศูนย์ช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอนิ่งเงียบ โดยระบุว่า หากออกไปพูดตอนนี้ก็คงไม่มีใครชื่อเธอ โดยเฉพาะกรณีที่ น.ส.ปณิดา ระบุว่า การที่เธอออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องพบเห็นการทุจริตนั้น ทำให้ หัวหน้าภาควิชา ฯ คือ นางสายไหม ไม่พอใจ ถึงกับทำร้ายเธอด้วยการทุบหลังและบังคับให้ไปขอโทษเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งด้วยการ “กราบ” ซึ่งเธอบอกว่า เป็นสิ่งที่เธอคับแค้นใจและเสียใจที่ถูกอาจารย์ตัวเองบังคับให้ทำเช่นนี้
“เรื่องการทุบหรือการฟาด เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 3 มกราคม 2561 อยู่ห้องพักอาจารย์ จะมีอาจารย์ในห้องนั้นอีก 2 ท่าน มีนิสิต 3 คน เป็นการคุยกันธรรมดา ไม่ได้เป็นการเรียกมาสอบข้อเท็จจริงอะไรขนาดนั้น เนื่องจากในช่วงสิ้นปีมีนิสิตอีก 3 คน ที่ไปฝึกงานกับแบม เขาได้รับการแจ้งข่าวจากแบมว่า มีเจ้าหน้าที่จากกรมพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่ ปปช. เจ้าหน้าที่ ปปท.ติดต่อผ่านมายังแบมเพื่อให้เพื่อนอีก 3 คน ช่วยไปให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นพยานหลักฐาน ซึ่งแบมก็สื่อสารเพื่อนไปยังทางไลน์ เพื่อนก็เลยพากันงง ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนจึงส่งเรื่องมายังอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาจึงนำเรื่องมาเล่าให้อาจารย์สายไหมฟังว่าจะทำอย่างไรต่อไป แล้วเรียกนิสิตมาคุยเพื่อจะได้หาทางแนะนำและช่วยเหลือต่อไป จึงนัดมาคุยกันในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ก็มีการคุยกันปกติ อาจารย์ถามแบมปณิดาว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร หนูได้ไปร้องเรียนหรือเปล่า หรือว่ามีทางหน่วยงานส่งจดหมายเอกสารมาไหม อยู่ ๆ จะให้เพื่อนไปพบให้ข้อมูลที่โรงแรม มีเพียงจดหมายที่ส่งไปที่บ้านแบม อาจารย์จึงถามว่าได้เอามาไหม แต่เอกสารอยู่บ้าน ให้แม่ส่งทางไลน์ก็ไม่ได้ เพราะแม่ส่งไม่เป็น อาจารย์จึงบอกว่างั้นเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน หน่วยงานไหนเขาส่งจดหมายมา หน่วยงานไหนติดต่อมา อาจารย์เลยฝากบอกแบมว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมาอีก บอกให้เขาทำเป็นหนังสือราชการ เพื่อเราจะได้สะดวกใจในการไปให้ข้อมูล ซึ่งเป็นช่วงเปิดเทอมจะได้ขออนุญาตอาจารย์ไปให้ข้อมูลได้ ซึ่งเพื่อนกับอาจารย์ก็พากันสงสัยว่าแบมปิดบังข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า ซึ่งแบมก็ถามอาจารย์ว่า อาจารย์ยังไม่ได้รับหนังสือจากปปท.กับทางปปช.เหรอ อาจารย์จึงบอกไปว่ายังไม่ได้รับ”อาจารย์สายไหม เล่าเหตุการณ์ในวันที่เธอถูกระบุว่า ไปทุบหลังลูกศิษย์
จากนั้นเธอได้เล่าต่อว่า เหตุการณ์วันที่ 3 มกราคม 2561 ได้คุยกับลูกศิษย์ตามปกติ ไม่ได้มีอารมณ์โมโหอะไร เธอเองก็เดินไปตีหลังหยอกกันกับแบมตามปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข่าวก็ออกไปในลักษณะว่าเธอไปทุบตี ฟาดหลังของแบม ซึ่งถ้าเกิดแบมนั้นจริงก็น่าไปหาหมอ เอาใบรับรองแพทย์มาให้ดูนะว่า ได้รับความบอบช้ำ บาดเจ็บอะไรแบบนี้ ซึ่งบรรยากาศในวันนั้นไม่ได้แบบนั้นเลย
“เหตุการณ์ในวันนั้นเราเข้าให้ข้อเท็จจริงกับกรรมการในมหาวิทยาลัยแล้ว คือทางอาจารย์ไม่ได้ทำร้ายเด็ก ข่มขู่ คุกคามเด็ก หรือว่าด่าเด็กอย่างที่เป็นข่าว เราต้องการอยากจะรู้ที่มาที่ไปว่า ใครไปแจ้งหรือดำเนินการ เราจะได้หาวิธีการแก้ไขได้ถูกต้อง และหลังจากที่นิสิตมาพบอาจารย์ที่คณะ เราให้นิสิตมาให้ข้อมูลกับอาจารย์ที่เป็นผู้สอนวิชาฝึกงาน ก็มีข้อเสนอแนะว่า ควรจะไปสอบถามข้อมูลกับทางอาจารย์ภาคสนามของศูนย์คนไร้ที่พึ่งขอนแก่น ประเด็นคือเด็กมีความกังวลใจว่า จะมีความผิดไม่สบายใจในการทำเอกสาร จึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยพร้อมกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิชาฝึกงาน คนที่ไปพบคือเจ้าหน้าที่ศูนย์คุมครองซึ่งตอนนี้เป็นจำเลยของคดีนี้ไป เราไม่ได้ไปพบผู้อำนวยการเพราะวันนั้นผอ.ไปราชการ เราไปทำหน้าที่ตามบทบาทของอาจารย์ที่จะไปดูแลการฝึกงาน เรามีระบบอาจารย์ภาคสนาม(เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครอง)กับอาจารย์นิเทศฝึกงาน(อาจารย์ที่ปรึกษา) ซึ่งเข้าไปวันนั้นได้สอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เด็กไม่สบายใจที่ทางศูนย์ให้ทำเอกสารกลัวว่าจะมีความผิด ในช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ เขามาตรวจสอบที่ศูนย์ฯไม่เกี่ยวข้องกับนิสิต อาจารย์ภาคสนามก็ได้ชี้แจงและขอโทษต่อนิสิตที่ทำให้ไม่สบายใจ”เธอเล่าต่อ
หลังจากนั้น อาจารย์สายไหมจึงถามนิสิตต่อว่าจะฝึกงานที่ต่อไหม เด็กแต่ละคนก็ฝึกต่อ โดยเหตุผลที่นิสิตฝึกต่อคือเหลือเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็สิ้นสุดการฝึกงาน และเด็กได้คลายความกังวลแล้วว่าเด็กไม่ได้ถูกตรวจสอบด้วย ดังนั้นเธอจึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้นิสิตสามารถฝึกงาน ทำงานกับอาจารย์ภาคสนาม กับองค์กรต่อไปได้ด้วยดี เพราะที่ผ่านมาอาจารย์ภาคนามบอกว่าช่วงหลัง ๆ นิสิตเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูด ชวนทานข้าว ชวนไปไหนไม่ค่อยไปด้วย อาจารย์สายไหมเลยเห็นว่าในเมื่อจะฝึกงานต่อเลยแนะนำให้กราบขอโทษผู้ใหญ่ในฐานะอาจารย์ภาคสนาม ไม่ได้กราบขอโทษคนโกง เพราะตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนโกงเป็นคนทุจริต
“ ตอนนั้นเราเพียงไปไกล่เกลี่ยเรื่องความกังวลใจของนิสิต เราไม่ได้ไปเกี่ยวว่าให้นิสิตไปขอโทษเพื่อให้ฝึกงานต่อ ถึงเราไม่ขอโทษทางศูนย์เขาก็ยินดีให้เราฝึกต่ออยู่แล้ว เมื่อแนะนำให้กราบขอโทษ ก็มีนิสิตเข้ามากราบที่ตักบ้าง ที่อกบ้าง ก็มีการโอบกอด ร้องไห้กัน ตื้นตันใจ ส่วนปณิดา อาจารย์ไม่แน่ใจว่าเขากราบที่ไหนบ้าง เพราะอาจารย์ภาคสนามนั่งเก้าอี้ แขนอีกข้างใส่เฝือก อาจารย์ไม่ได้บังคับขู่เข็ญสั่งให้นิสิตกราบเท้า ไม่เช่นนั้นทางศูนย์จะไม่ให้ฝึกงาน ซึ่งในทางสังคมหรือข่าวมันมีเรื่องเหล่านี้ออกไปด้วย หลังจากนั้นอาจารย์ภาคสนามกับนิสิตก็ได้ปรึกษาหารือเปลี่ยนหัวข้อวิจัย ถ้าเกิดไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้นเด็กต้องทำวิจัยที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งต่อ แต่เกิดเรื่องเสียก่อน หลังจากคุยกันเสร็จทางอาจารย์ภาคสนามก็พาไปดูบ้านพักของคนไร้ที่พึ่งบรรยากาศก็ดูปกติจากนั้นอาจารย์ก็เดินทางกลับ”
ส่วนการเปลี่ยนหัวข้อ วิจัยที่แบม ทำในเทอม 2/2560 เปลี่ยนมาทำที่เทศบาลเมืองมหาสารคาม เมื่อเปลี่ยนพื้นที่ทำวิจัยใหม่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวข้อในการทำวิจัยใหม่ ซึ่งทางคณาจารย์ที่ดูแลอยู่ ก็มีการยืดหยุ่นในการส่งงานให้แก่แบม โดยหัวข้อวิจัยเดิมแบมยังไม่ได้ลงพื้นที่อะไรมากมาย เพียงแค่เสนอชื่อหัวข้อมาเท่านั้นเอง
นอกจากเรื่องกระแสสังคมที่โจมตีแล้ว อาจารย์สายไหมยังระบุว่า มีโทรศัพท์เข้ามาจาก คนใช้ชื่อว่า Tee Thepna โทรศัพท์เข้ามาเบอร์มือถือภาควิชา แต่อาจารย์อีกท่านรับสายแทน มีคลิปเสียงที่คุกคาม ข่มขู่ด้วยว่าจะมากรีดรถอาจารย์ในคณะทุกคัน ถ้าไม่ให้เจออาจารย์สายไหม เขาแอดไลน์เข้ามาแล้วโทรศัพท์เข้ามา แล้วก็มีการส่งข้อความมายังเฟซบุ๊กของอาจารย์อีกท่านหนึ่งแล้วฝากด่าอาจารย์สายไหมด้วย
และเพราะเหตุผลนี้เอง ทำให้เธอตัดสินใจ เข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อเอาผิดกับคนที่ใช้เฟซบุ๊คดังกล่าว ที่คุกคามเธอในโซเชี่ยลมีเดีย ทั้งทางเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือโทรศัพท์
“ที่ผ่านมาไม่ออกมาพูดเนื่องจากว่ากระแสสังคมมันแรง ถ้าออกมาพูดจะทำให้เรื่องไม่จบ และที่สำคัญคือถ้าออกมาพูดเหมือนเราจะทำร้ายลูกศิษย์เรา เพราะข้อมูลไม่เหมือนกับที่ปรากฏในสื่อ เพราะว่าอยากให้ลูกศิษย์ได้รับการยกย่องมีเกียรติเชิดชูอย่างขาวสะอาด ถ้าอาจารย์ออกมาพูดอะไรตอนนั้นไม่น่าจะเหมาะสม อีกอย่างจะเหมือนอาจารย์ออกมาแก้ตัว รวมถึงมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน เลยคิดว่าอดทนรอคอยได้ หวังว่ามันคงจะดีขึ้น เพราะลูกศิษย์เราไม่ใช่คนแบบนั้นเรารู้จักลูกศิษย์ดี พออดทนมานานสถานการณ์ก็ปานปลาย โดนคุกคามจากสังคม ทั้งอาจารย์และคนรอบข้างได้รับความเดือดร้อนกันหมด จึงตัดสินใจออกมาพูด ต้องขออภัยด้วยถ้าหากพูดออกไปแล้วทำลายเครดิตลูกศิษย์ตัวเอง เพราะแบมเป็นลูกศิษย์ที่ไว้ใจ ให้มาช่วยงาน มารับมาส่งที่บ้าน ถ้าเจอแบม ไม่รู้จะคุยอะไร แค่อาจารย์อยากรู้ว่า อาจารย์ทำผิดขนาดนั้นเลยหรอ แบมเข้าใจเจตนาอาจารย์ผิดไปมากขนาดนั้น ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ อาจารย์ไม่คิดจะโกรธเคืองแก้แค้นอะไร อย่างไรในความเป็นลูกศิษย์ความเป็นอาจารย์ยังมีเหมือนเดิม”
อาจารย์สายไหม กล่าวทิ้งท้าย ก่อนเธอจะเดินจากไป เพื่อรอให้ผลสอบสวนเรื่องนี้ออกมา ซึ่งผลจะเป็นเช่นไรนั้นสังคมกำลังรอคอยอยู่.