Red Sparrow นางนกต่อผู้มีเรือนร่างเป็นอาวุธ

บอกตามตรงว่าตอนดูตัวอย่าง "Red Sparrow -หญิงร้อนพิฆาต" ที่ปล่อยออกมา ไม่ได้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าสนใจอะไรนัก แต่พอได้ไปดูจริงแล้วกลับพบว่าเป็นหนังสายลับที่ทำออกมาได้สนุก ชวนติดตาม นำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไป ไม่เน้นฉากแอคชั่นโลดโผนโจนทะยานเพื่อโชว์ความเก่งผิดมนุษย์มนาของตัวเอก แต่กลับนำเสนอให้เห็นด้านมืดของการเป็นสายลับว่ามันไม่ได้ดูเท่ ดูมีอภิสิทธิ์ชนแบบในหนังสายลับเรื่องอื่น ๆ อย่าง เจมส์บอนด์ หรือ มิชชั่น อิมพอสสิเบิล หรอกนะ

ในทางตรงกันข้าม มันกลับเต็มไปด้วยความกดดัน เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต แล้วไว้ใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนในครอบครัวของคุณเองก็ตาม

Red Sparrow สร้างมาจากนวนิยายขายดีที่แต่งโดย “เจสัน แมทธิวส์” อดีตซีไอเอที่เกษียณแล้วเลยหันมาแต่งหนังสือคลายเหงา เป็นเรื่องราวของ “โดมินิก้า อีโกโรว่า” (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) นักบัลเลต์สาวดาวเด่นของคณะบอลชอยแห่งรัสเซียที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนเต้นต่อไม่ได้ นั่นเท่ากับว่า เธอจะไม่มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง และมารดาผู้พิการที่ต้องใช้เงินรักษาพยาบาลไม่น้อย

ในระหว่างที่เข้าตาจนอยู่นั้น อาของโดมินิก้าที่มีตำแหน่งใหญ่โตในหน่วยงานสายลับรัสเซียก็ยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นนางนกต่อ ล่อลวงเจ้าหน้าที่ซีไอเอของสหรัฐชื่อ “นาธานเนล แนช” (โจเอล เอ็ดเจอร์ตัน) เพื่อล้วงความลับจากเขาเรื่องหนอนบ่อนไส้ในรัฐบาล และนั่นทำให้เธอถลำเข้าไปในโลกของสายลับอันโหดร้ายแบบไม่เต็มใจ

ถ้าใครเป็นเฟมินิสต์ ไม่แนะนำให้ดู Red Sparrow เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงการใช้เรือนร่าง เสน่ห์ความเป็นหญิงไปล่อลวงผู้ชาย โดยเฉพาะตอนที่โดมินิก้าถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนฝึกสายลับที่สอนให้เธอใช้เสน่ห์ทางเพศบงการผู้ชาย ซึ่ง แมทธิวส์ ผู้แต่งนิยายบอกว่า เขาไม่เคยพบสายลับแบบโดมินิก้าระหว่างที่เป็นซีไอเอหรอกนะ แต่สหภาพโซเวียตมีโรงเรียนสแปร์โรว์อยู่จริงในเมืองคาซาน ริมฝั่งแม่น้ำโวลกา ที่นั่นหญิงสาวจะได้เรียนรู้การเป็นผู้ปรนเปรอทางเพศ โดยพวกเธอถูกเรียกว่า ‘สแปร์โรว์’ (นกกระจอก)”

แต่จะบอกว่าถึงแม้เนื้อเรื่องเป็นแบบนี้ ....ตัวหนังกลับไม่ได้ตั้งใจขายเซ็กส์หรือความยั่วยวนเลย

โดมินิก้าเข้ามาเป็นสายลับเพราะถูกสถานการณ์บีบบังคับ ตลอดเวลาที่ดูหนัง ถึงแม้เราจะรู้สึกได้ถึงความสวย เซ็กซี่ และมีเสน่ห์ของโดมินิก้า แต่ขณะเดียวกันเราก็จะสัมผัสได้ถึงความกล้ำกลืนฝืนทนของเธอ (แม้จะมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา) แล้วก็รู้สึกบีบคั้นหัวใจแทนเวลาที่เธอถูกบังคับให้ต้องทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกตัวเองออกไป

ปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้ Red Sparrow ดูสนุกคือความฉลาดของโดมินิก้าในการเอาตัวรอด และ “เอาคืน” ผู้ที่ทำให้เธอต้องบาดเจ็บ ต้องอับอายขายหน้า และต้องกลายมาเป็นนางนกต่อ พลีเรือนร่างให้กับผู้ชายได้อย่างแสบทรวง ซึ่งตรงนี้ต้องไปดูในหนังกันเอาเองถึงจะลุ้น ซึ่งต้องขอชมทีมงานที่แคส “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์” มารับบทนี้เพราะนอกจากจะสวยสมกับบทที่ต้องรับแล้ว การแสดงของเธอยังเอาอยู่ และทรงพลังจริง ๆ

 Red Sparrow ฉบับนวนิยายได้รับการตีพิมพ์ในปี 2013 และขายดีมากจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนวนิยายไตรภาคที่มี Palace of Treason ตามมาเป็นภาคที่สอง และ The Kremlin’s Candidate ที่กำลังจะตามมา

 

ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าหนังจะกระแสดีพอจนทางสตูดิโอไฟเขียวให้ทำภาค 2 ออกมารึเปล่า แต่ก่อนอื่นเข้าไปดู Red Sparrow ภาคแรกที่กำลังลงโรงฉายที่บ้านเราอยู่ตอนนี้กันก่อนดีกว่า