Daily Strategy (8 มี.ค.61)

Daily Strategy (8 มี.ค.61)

รอจังหวะการเข้าซื้อ

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ยังมีโอกาสรีบาวด์ แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลง แต่หุ้น PTTEP, PTT คาดว่าจะได้รับผลบวกจากข่าวรัฐบาลอินโดนีเซียขอถอนฟ้องแต่ยังอาจมีความไม่แน่นอนว่าจะกลับมายื่นฟ้องใหม่หลังจากแก้ไขคำฟ้องหรือไม่ กรอบดัชนีในวันนี้ 1,772-1,792 จุด หุ้นเด่นที่ยังน่าสนใจในรอบนี้ยังเป็นหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ค้าปลีก และโรงพยาบาล ซึ่งหลังจากที่ประกาศงบการเงินไปแล้ว มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC, IRPC, CPALL, CPF รวมถึง BDMS

หุ้นเด่นวันน็: CPALL (ปิด 85.50บาท; ซื้อ; AWS TP 94.50 บาท)

  • ได้รับปัจจัยบวกจากข่าวธปท. ประกาศหลักเกณฑ์การตั้ง Banking Agents เมื่อวันที่ 5 มี.ค.61 ที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่อ CPALL ซึ่งมีร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวนรวมกันมากกว่า 10,000 สาขา ทั่วประเทศ นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมแล้ว ยังช่วยให้จำนวนคนเข้าร้านมากขึ้น ทำให้บริษัทมีโอกาสขายสินค้าภายในร้านได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้บริษัทได้ปรับ Business Model จากร้านอิ่มสะดวกซื้อเป็นธุรกิจบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เช่น ธุรกิจ Logistics รับ-ส่งสินค้า ตลอด 24 ชั่วโมง คาด Spending per ticket ในปี 2561 จะปรับตัวดีขึ้น เราประมาณการกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 24,447 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8%
  • Price Pattern ของ CPALL มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, &Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ CPALL บ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 114 บาท และเพื่อยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) รอบนี้ Price Pattern ของ CPALL ไม่ควรปิดตลาดต่ำกว่า 83.25 บาท ทั้งนี้ CPALL มี

ปัจจัยในประเทศ:

  • เร่งดันโครงการ PPPFast track สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจคาด เกือบครึ่งของโครงการที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ภายใต้ Fast track จำนวนทั้งหมด 66 แสนล้านบาท จะได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการ PPP ภายในปีนี้ โดยตัวอย่างของโครงการเหล่านั้น ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกและตะวันตกมูลค่า 1.95 แสนล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงถนนวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษกและเตาปูนมูลค่า 1.31 แสนล้านบาท และโครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม – ชะอำ มูลค่า 8 หมื่นล้านบาท (บางกอกโพสต์)
  • AQ (ราคาปิด 04 บาท) รายงานว่าศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยกเลิกคำสั่งให้ระงับขายทอดตลาดที่ดินที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2560 (SET) ความเห็น: เราคาดปัจจัยดังกล่าวให้ sentiment เชิงบวกต่อ KTB (ราคาปิด 19.90 บาท; ถือ; AWS TP: 20 บาท) อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจำนวนกำไรจากหนี้สูญรับคืนที่ยังไม่แน่ชัด เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ของ KTB ไว้ที่ 2.73 หมื่นล้านบาท ขณะที่เราคาดว่าธนาคารมีแนวโน้มที่จะใช้กำไรดังกล่าวในการตั้งสำรองเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS 9
  • PTTEP(11.50 บาท; NR;IAA consensus 130 บาท)เผยศาลแขวงกลางแห่งกรุงจาการ์ตาสั่งจำหน่ายคดีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหลในแหล่งมอนทาราออกไป หลังรัฐบาลอินโดนีเซีย ถอนฟ้องเรียกค่าเสียหาย ความเห็น: เป็นข่าวบวกในระยะยาวของหุ้น PTTEP และ PTT คลายความกังวลปัจจัยที่ Overhang ไปได้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราเชื่อว่า PTTEP จะทบทวนแผนการลงทุนในแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอินโดนีเซียใหม่ ซึ่งจะเป็นโอกาสเกิด Win-Winsituation ระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย
  • ROBINS ได้กำหนดแผนการลงทุน 5 หมื่นล้านบาทเพื่อขยายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเมืองรองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล (Bangkok Post) ความเห็น: นี่เป็นมุมมองที่เป็นบวกสำหรับ ROBINS เนื่องจากการขยายสาขาจะมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ในต่างจังหวัดซึ่งยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้เนื่องจากการแข่งขันในบริเวณนั้นลดลง นอกจากนี้ภาคตะวันออกมีศักยภาพที่ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆจากประโยชน์โครงการของภาครัฐ
  • TTA (ปิด 8.55 บาท, “ซื้อ”, AWS TP 13.00 บาท) เรามีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ (7 มี.ค. 61) โดยเฉพาะธุรกิจเรือเทกองที่เราคาดว่าความต้องการขนส่งสินค้าแห้งเทกองในปี 2561 จะเติบโตแข็งแกร่งประมาณ 4.5% ตามปริมาณการค้าโลก ในขณะที่ข้อมูลจาก Clarkson Research คาดการณ์ว่าปริมาณเรือเทกองประเภท Handymax-Handysize ในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0% ทั้งนี้กฎหมายขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของ Trump คาดว่าส่งผลกระทบจำกัด เนื่องจาก TTA เน้นขนส่งสินค้าวัตถุดิบทั่วไป ไม่ได้เน้นขนส่งสินแร่เหล็กและถ่านหิน สำหรับธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะปรับตัวดีขึ้นจากงานในมือจำนวนมาก ธุรกิจปุ๋ยเคมีในเวียดนามยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ทำให้ผลประกอบการของ TTA ในปี 2561 มีโอกาสฟื้นตัวโดดเด่น

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ปิดลบไม่มากนัก ดาวโจนส์ -0.33%, S&P500 -0.05% และ Nasdaq ปิด +0.33% นักลงทุนวิตกกังวลว่าการที่นายแกรี่ โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง อาจจุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าในไม่ช้า ดาวโจนส์ลดช่วงลบ เนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากถ้อยแถลงของทำเนียบขาวที่ว่า แคนาดาและเม็กซิโกอาจจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม และได้ปัจจัยบวกจากรายงาน Beige Book ของเฟดซึ่งระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในระดับปานกลาง ส่วนภาวะเศรษฐกิจทั่วทั้ง 12 เขตของสหรัฐฯ ขยายตัวเล็กน้อยจนถึงปานกลาง ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. โดยรายงานดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลจากความเป็นไปได้ที่ว่า เฟดอาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมัน: ปิดร่วงลงกว่า 2% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในปีนี้ นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ายังสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันเช่นกัน หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลต่อรายงานที่ว่า สหรัฐได้เพิ่มการผลิตน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา