เล็งยกระดับเกลือทะเลไทยสู่ตลาดโลก

เล็งยกระดับเกลือทะเลไทยสู่ตลาดโลก

เล็งยกระดับคุณภาพเกลือไทยให้ได้มาตรฐานผ่านระบบสหกรณ์ สามารถสร้างตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ หวังเพิ่มช่องทางตลาด พร้อมผลักดันเกลือไทยให้เป็นที่รู้จักในนานาชาติ

เมื่อวันที่ 7 มี.ค.61 นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมขบวนการผลิตเกลือทะเลของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จำกัด พร้อมรับฟังปัญหาการทำอาชีพเกลือทะเล ที่ ตำบลบ้านแหลม อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ทั้งนี้ พบว่าจังหวัดเพชรบุรีมีพื้นที่ในการทำนาเกลือของเกษตรกรผู้ผลิตเกลือทะเล รวมทั้งสิ้น 32,000 ไร่ โดยเกษตรกรสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จำกัด มีพื้นที่ทำนาเกลือ จำนวน 16,286 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 45.24 ของพื้นที่ทำนาเกลือทั้งหมดของจังหวัดเพชรบุรี

นับตั้งแต่ปี 2536 เกษตรกรผู้ทำนาเกลือได้รวมกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตร ชาวนาเกลือบ้านแหลม จำกัด ซึ่งเป็นสหกรณ์ประเภทการเกษตร มีสมาชิกแรกเริ่ม 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบ้านแหลม กลุ่มบางขุนไทร กลุ่มปากทะเล และกลุ่มบางแก้ว-พะเนิน สมาชิกแรกตั้ง 111 คน ทุนดำเนินการแรกเริ่ม 111,000 บาท ต่อมาได้มีการขยายการเปิดรับสมาชิกและแดนดำเนินงานครอบคลุมทุกอำเภอของจังหวัดเพชรบุรี และจดทะเบียนชื่อว่าสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จำกัด ปัจจุบันมีสมาชิก 261 คน ดำเนินธุรกิจหลักคือการรวบรวมผลผลิตเกลือทะเลจากสมาชิก การแปรรูป การจัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้สมาชิกและการให้บริการอื่น ๆ แก่สมาชิกซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ทำนาเกลือ

สำหรับการดำเนินธุรกิจรวบรวมและจำหน่ายเกลือทะเลนั้นสหกรณ์ฯ ได้จัดทำแผนรวบรวมผลผลิตจากสมาชิก โดยการทำข้อตกลง MOU กับสมาชิกสหกรณ์ และรวบรวมผลผลิตเกลือผ่านชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จำกัด ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – ธันวาคม 2561 โดยแบ่งเป็นเกลือแต่ละประเภท ดังนี้ 1.เกลือขาว จำนวน 2,423 ตัน 2.เกลือกลาง จำนวน 62,579 ตัน 3.เกลือดำ จำนวน 3,432 ตัน รวมทั้งสิ้น 68,434 ตัน ปัจจุบันสหกรณ์รวบรวมเกลือจากสมาชิก จำนวน 614,310 กิโลกรัม และส่งผ่านชุมนุมฯ ไปแล้ว 469,950 กิโลกรัม

ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ช่วยเหลือสมาชิกสถาบันเกษตรกรที่ทำนาเกลือในจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ภายใต้โครงการ “สร้างระบบการผลิตและการตลาดเกลือทะเลของสถาบันเกษตรกรด้วยวิธีการยกระดับราคาให้ยั่งยืน” โดยผลักดันให้สหกรณ์ / กลุ่มเกษตรกรเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาร่วมกันในการผลิตเกลือคุณภาพมาตรฐานและยกระดับราคาเกลือให้กับสมาชิก ซึ่งในช่วง ฤดูแล้งของทุกปี ผลผลิตเกลือทะเลจะมีปริมาณมากที่สุดเป็น 3 – 4 เท่าของช่วงปกติ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้จัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร วงเงิน 52.5 ล้านบาท เป็นเงินปลอดดอกเบี้ย ให้สหกรณ์ชาวนาเกลือได้กู้ยืมไปเป็นทุนหมุนเวียนในการรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกและกำหนดชำระคืนภายใน 5 ปี ระยะเวลาเริ่มโครงการตั้งแต่ปีการผลิต พ.ศ. 2559 ถึงปี พ.ศ.2563

จากนั้นรมช.เกษตรฯได้ร่วมหารือและรับฟังความเห็นจากสมาชิกสหกรณ์ผู้ทำนาเกลือ พบว่า เกษตรกรยังประสบปัญหาในการดำเนินงานหลายด้าน ที่ภาครัฐต้องเข้ามาให้การส่งเสริมและหาแนวทางแก้ไขได้แก่ 1. เรื่องต้นทุนการผลิตเกลือที่สูง 2.ส่งเสริมคุณภาพเกลือ ซึ่งจะต้องจำแนกเกลือออกเป็นหลายระดับเพื่อยกระดับให้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สามารถสร้างตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างถาวร และเป็นที่รู้จักและต้องการของตลาดโลก และผลักดันเกลือไทยเป็นที่รู้จักในสังคมโลก 3. การแปรรูปผลผลิตเกลือให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ซึ่งสหกรณ์ต้องพัฒนากระบวนการแปรรูปเกลือเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกลือทะเล โดยสหกรณ์ต้องมีอุปกรณ์การผลิต เช่น เครื่องทำเกลือป่น เครื่องทำเกลือแป้งเพื่อนำไปใช้ในการทำฝนเทียมและเกลือสปา

ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนจะเข้ามาบูรณาการเพื่อศึกษาเพื่อหาแนวทางร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนาเกลือทะเล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ อย่างกว้างขวาง และต้องส่งเสริมยกระดับระบบสหกรณ์นาเกลือให้เกิดความเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งจะต้องหาแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ทำนาเกลือได้รายได้ที่มั่นคงและสามารถประกอบอาชีพทำนาเกลือได้อย่างยั่งยืน

“เราต้องร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้ ทรงวางรากฐานรักษาอาชีพทำนาเกลือไว้ให้คนไทย ทรงพระราชทานพื้นที่ที่สำคัญในการทำนาเกลือจนเกิดประโยชน์ต่อคนไทยมาช้านาน ประโยชน์ของเกลือทะเลไม่ใช่เพียงช่วยทำให้คนไทยไม่เป็นโรคคอหอยพอกเท่านั้น แต่เรายังสามารถนำเกลือไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรักษาอาชีพทำนาเกลือไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันให้คงอยู่กับคนไทยได้นานเท่านาน” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว