สนช.นัดโหวต กม.ลูก 8 มี.ค. จับตาโหวตคว่ำต้องใช้เสียง 165 เสียงขึ้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีคำสั่งให้นัดประชุมสนช.ในวันที่ 8 มี.ค.เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส. ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมกัน 3 ฝ่ายระหว่างสนช. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้พิจารณาเสร็จแล้ว
สำหรับร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. มีเนื้อหาสาระสำคัญ คือ การกำหนดในบทเฉพาะกาลให้นำวิธีการได้มาซึ่งสว.ที่สนช.ได้เสนอทั้งเรื่องการให้สว.มาจากกลุ่มวิชาชีพ 10 กลุ่ม การให้บุคคลสมัครสว.ในนามอิสระและผ่านองค์กรนิติบุคคล และการยกเลิกระบบการเลือกไขว้ มาใช้กับการเลือกสว.ใน5 ปีแรก แต่หลังจากเมื่อพ้นเวลา 5ปี จะกลับไปใช้ระบบการได้มาซึ่งสว.ตามที่กรธ.บัญญัติมาใช้ ทั้งการให้สว.มาจากกลุ่มวิชาชีพ 20 กลุ่ม การสมัครสว.ในนามอิสระเท่านั้น และการเลือกด้วยวิธีการเลือกไขว้
ส่วนการเลือกสว.ตามรูปแบบของสนช. มาตรา 92/1 บัญญัติให้สว.มีจำนวน 10 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง 2.กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 3.กลุุ่มการศึกษาและการสาธารณสุข 4.กลุ่มอาชีพกสิกรรม ปลูกพืชล้มลุก ทำนา ทำสวน ทำไร่ ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง 5.กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคลที่มิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
6.กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตกรรม 7.กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว 8.กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ 9.กลุ่มศิลปะวัฒนกรรม และ 10.กลุ่มอื่นๆ
สำหรับการสมัครสว. มาตรา 92/2 ได้บัญญัติรายละเอียดเกี่ยวกับการสมัครผ่านการเสนอชื่อจากองค์กรนิติบุคคลว่า มีสิทธิสมัครตามกลุ่มวิชาพได้เพียงกลุ่มเดียว รวมทั้งมีสิทธิสมัครได้เพียงอำเภอเดียว หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี
ด้านองค์กรนิติบุคคลที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลให้เป็นสว.ได้ มาตรา 92/3 ระบุว่าต้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันหรือดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและต้องได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์กรมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส. คณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้ปรับแก้เนื้อหา ดังนี้ 1.ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะถูกตัดสิทธิดำรงตำแหน่งข้าราชการเมือง และข้าราชการรัฐฝ่ายการเมือง รวมถึงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น 2.ให้ผู้สมัครสส.ของพรรคการเมืองมีหมายเลขผู้สมัครในแต่ละเขตเลือกตั้งแตกต่างกัน3.การกำหนดค่าใช้จ่ายเพื่อการหาเสียงของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่กกต.กำหนด โดยจะกำหนดให้ใช้จำนวนสมาชิกของพรรคการเมืองที่ส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นรายบุคคลมาเป็นฐานในการคำนวณมิได้
4.ห้ามทำการหาเสียงด้วยการจัดมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1- 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี 5.ในวันเลือกตั้งให้เปิดการออกเสียงลงคะแนนตั้งแต่เวลา 8.00น.-17.00น. และ 6.ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทำการแทนคนพิการ โดยให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ
ทั้งนี้ ตามขั้นตอนหากที่ประชุมสนช.มีมติให้ความเห็นชอบ กับร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป เว้นแต่จะมีการส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จะส่งผลให้นายกฯต้องชะลอการนำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้า จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ในทางกลับกัน ถ้าที่ประชุมสนช.มีมติเสียงข้างมากไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 165 เสียงจากสมาชิกสนช.ทั้งหมด 248 คนมีมติไม่เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญต้องเป็นอันตกไป และดำเนินการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง