ตำรวจสืบสวน 3 นครบาล โชว์รวบมิจฉาชีพออนไลน์ ตุ๋นชาวบ้านขายสินค้า แถมอ้างปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านเฟสบุ๊ค เหยื่อหลงเชื่อสูญเงินอื้อ
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 2 มี.ค.2561 พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.ธนากร อ่อนทองคำ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายสืบสวน กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายณพัทธ์ หรือบอล วีรณรงค์ชยกุล อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 ซอยราษฎร์บูรณะ 40 แขวงและเขตราษฎร์บูรณะ กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 364/2561 ลงวันที่ 27 ก.พ. 2561 พร้อมของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือ 14 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 3 เล่ม เสื้อผ้าที่ใส่ในการก่อเหตุ และเอกสารของผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง มูลค่าความเสียหายกว่า 5 แสนบาท
พ.ต.อ.อิสเรศ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า คนร้ายได้สร้างเฟซบุ๊คขึ้นมาแอบอ้างตนเอง ว่าเป็นผู้ปล่อยเงินกู้ออนไลน์และได้เงินเร็ว โดยมีดอกเบี้ยต่ำไม่โกง โดยใช้ชื่อ Runti Run Summiginnaral และใช้ชื่อเฟสบุ๊คปลอมชื่อ “สมยศ บุญทรง” จากนั้นทางกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 11 คน ได้ติดต่อขอกู้เงินออนไลน์ และติดต่อนัดเจอกันเพื่อพูดคุยเรื่องการปล่อยเงินกู้ ซึ่งขั้นตอนการกู้นั้นคนร้ายได้ออกอุบายให้กลุ่มผู้เสียหายกลุ่มที่ 1 ต้องนำเอกสารบัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็มตัวจริง เพื่อที่จะตรวจสอบหากอนุมัติเงินกู้แล้ว คนร้ายจะนำเงินสดที่กู้มามอบให้และการผ่อนคืนคนร้ายจะกดเงินออกจากบัตรเอทีเอ็ม.เอง ซึ่งผ่านไป 1-2 วัน ก็ไม่สามารถติดต่อกับทางคนร้ายได้อีก
พ.ต.อ.อิสเรศ กล่าวอีกว่า ต่อมาคนร้ายได้เปิดเฟสบุ๊คโพสต์ขายสินค้าออนไลน์ อาทิ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพ การ์ดจอ โดยนำเอกสารบัตรประจำตัวประชาชนและบัญชีของผู้เสียหายกลุ่มที่ 1 ไปแอบอ้างว่าเป็นผู้ขายสินค้า ต่อมามีกลุ่มผู้เสียหายกลุ่มที่ 2 ประมาณ 20 คน ติดต่อมาซื้อสินค้าจากคนร้าย โดยคนร้ายให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายกลุ่มที่ 1 หลังจากติดต่อชำระค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่สามารถติดต่อหาคนร้ายได้อีก ทำให้ผู้เสียหายกลุ่มที่ 2 เชื่อว่าผู้เสียหายกลุ่มแรกเป็นผู้ต้องหาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งนี้ จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเองไม่ได้ประกอบอาชีพ ซึ่งหลังจากเรียนจบชั้นประถม ก็ไม่ได้ศึกษาต่อ และเห็นว่าการปลอมเฟซบุ๊คขึ้นมาเพื่อหลอกขายสินค้าสามารถทำได้แบบง่ายๆ โดยทำมาได้ประมาณ 2 ปี ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว ส่วนเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนนั้น จะนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ด้านนายประวิทย์ ทองคำ อายุ 49 ปี พนักงานส่งของบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวยืนยันว่า ตนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงเหมือนกัน และรู้สึกตกใจมาก ซึ่งเมื่อตำรวจติดต่อมา ตนก็ยืนยันความบริสุทธิ์ และเล่าเรื่องราวให้ฟังตามลำดับ เนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว ตนไปขอกู้เงินผ่านเฟซบุ๊ค ก่อนจะถูกนายณพัทร์ ยึดบัตรประชาชนไป โดยคนร้ายได้หายตัวไปและติดต่อไม่ได้ จนตัวเองต้องไปทำบัตรประชาชนใหม่ และมาทราบเรื่องดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันแสดงตนเป็นคนอื่นโดยทุจริต หลองลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไป ซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงบุคคลที่สาม” “ร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้และใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” “ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
ตำรวจจึงอยากฝากให้ประชาชนระวังว่าอย่าให้เอกสารสำคัญกับบุคคลอื่น เพราะอาจถูกนำไปใช้ก่อเหตุ กระทั่งตกเป็นผู้ต้องหาได้ โดยกรณีดังกล่าวเชื่อว่านายณพัทร์น่าจะเคยอยู่ในกลุ่มขบวนการฉ้อโกงในลักษณะนี้ ก่อนแยกตัวออกมาก่อเหตุเพียงคนเดียว ซึ่งจะขยายผลติดตามตัวผู้ร่วมขบวนการ คุมตัวพร้อมของหลางนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป