หมอกควันเชียงใหม่สีขาวขุ่น

หมอกควันเชียงใหม่สีขาวขุ่น

ค่าฝุ่นpm10 “แม่แจ่ม” สูงเกินค่ามาตรฐานอยู่ที่128 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ค่อยๆจางลง ขณะที่ “หมอกควัน” เชียงใหม่สีขาวขุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงเช้าวันที่ 2 มี.ค.2561 ในเขตเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกควันหนาแน่น โดยเมื่อผู้สื่อข่าวได้ขึ้นไปถ่ายภาพบนจุดชมวิวทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ซึ่งปกติแล้วจะมองเห็นทัศนียภาพตัวเมืองเชียงใหม่ ได้ทั่วเมือง ทั้ง 360 องศา มองไปได้ไกลสุดสายตา แต่ในวันนี้กลับพบว่ามีหมอกควันปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง มองเห็นอาคารสูงต่างๆ ได้เพียงเลือนราง จนไม่สามารถระบุได้ชัดเจน ไม่ว่าสถานที่ท่องเที่ยว หรือแลนมาร์คต่างๆในตัวเมืองต่างถูกกลืนหายไปกับหมอกควันสีขาวขุ่น

ทั้งนี้สังเกตว่าวันนี้ยังสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้บางส่วน และมองเห็นเมฆบนท้องฟ้าได้บางจุด เนื่องจากหมอกควันลดตัวลงต่ำกว่าทุกวันที่ผ่านมา โดยเมื่อมองจากภาคพื้นดินก็จะพบว่าตามเทือกเขายอดดอยที่รายล้อมเมืองเชียงใหม่ ที่ปกติจะมองเห็นได้ชัดเจนนั้น ในวันนี้ก็พบว่าถูกหมอกควันปกคลุม จนเลือนรางแทบจะมองไม่เห็นด้วยสายตาเปล่า

ข้อมูลจากสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ จากการตรวจวัดค่ามลพิษฝุ่นละอองในอากาศจากสถานีตรวจวัดที่บริเวณ ตำบลช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบว่า เมื่อเวลา 08.00น. ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน หรือ PM 10 วัดได้ 117 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งค่าPM 10 มาตรฐานไม่ควรเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และมีค่า AQI เท่ากับ 81 ถือว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่ใกล้จะเกินค่ามาตรฐาน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับปอด ระบบหายใจ รวมทั้งผู้เป็นโรคภูมิแพ้ ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง และควรสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติมอีกว่า เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 28 ก.พ.2561 ที่ผ่านมา ค่าหมอกควันและจุดฮอตสปอต ต่างดีดตัวสูง อย่างมีนัยยะ เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะเริ่ม มาตรการ 51 วันห้ามเผา ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. -20เมษายน 2561 โดยพบว่าจุดที่มีปัญหาที่สุดคือพื้นที่ อ.แม่แจ่ม มีฝุ่นละอองในอากาศเกินค่ามาตรฐาน ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศต่ำกว่า 10 ไมครอน หรือ PM10 วัดได้สูงถึง 128 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบปีนี้ ขณะที่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา อ.แม่แจ่ม เป็นพื้นที่ ที่สามารถควบคุมปริมาณการเผาและค่าฝุ่นควันได้ค่อนข้างดี

นายสมเกียรติ มีธรรม ผอ.สถาบันอ้อผะหญา หน่วยงานภาคสังคมที่มีบทบาทในการอนุรักษ์ป่าและแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่อ.แม่แจ่ม เปิดเผยว่า แม้ว่าในวันนี้ ค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ อ.แม่แจ่มจะค่อยๆลดลง จาก 2 วันที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยหมอกควัน ทั้งที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อ.แม่แจ่ม มีแม่แจ่มโมเดล คือ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนบูรณาการจัดการปัญหาหมอกควันอย่างเป็นระบบ ทำให้จากพื้นที่เสี่ยงมีปัญหาการเผาและสร้างหมอกควันมาโดยตลอด กลับเป็นพื้นที่ ที่มีการบริหารจัดการได้ดีสำเร็จ ก่อนที่จะเปลี่ยนนายอำเภอคนใหม่ในปีนี้

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า สาเหตุหลัก ตนเชื่อว่า เกิดจากแผนการบริหารจัดการการเผาของนายอำเภอคนใหม่เปลี่ยนไปจากเดิม ปัญหาต่างๆก็ตามมา บางสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ก็อาจจะลดคุณภาพลง เช่นแผนการชิงเผา ลดเชื้อเพลิง ก่อนที่จะถึงช่วงมาตรการห้ามเผา แต่เดิมมีการบริหารงานในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหมอกควัน และป่าไม้ชุมชน ร่วมกับทุกภาคส่วน มีแผนการชัดเจน มีการวิเคราะห์ทิศทางลม การบริหารจัดการพื้นที่ และวางแผนการชิงเผา ในจุดต่างๆ ในแบบกระจายการเผา เช่นเผาในพื้นที่ทิศเหนือ สลับกับทิศใต้ เพื่อให้ควันจากการชิงเผากระจายตัว ไม่รวมกลุ่มกัน และเมื่อมีการชิงเผาก็จะมีการกำหนดเขตชัดเจน มีคนเฝ้าตลอดไม่ให้ลุกลาม ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคนในชุมชน สถาบันการศึกษาต่างๆ และภาคเอกชน

"แต่พบว่าแนวทางการปฎิบัติงานของภาครัฐในอำเภอแม่แจ่ม ไม่มีการทำแนวกันไฟก่อนการชิงเผา และไม่มีคนเฝ้า ดังนั้นเมื่อเผาแล้วจึงลุกลาม เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งยังเผาไล่ไปเรื่อยๆ ตามพื้นที่ ทำให้ควันกระจุกตัว ไม่ได้นำแผนการเดิมที่ดีอยู่แล้วมาทบทวน หรือสานต่อสิ่งที่มีอยู่ แต่กลับตั้งระบบใหม่ ที่เรียกว่า ซิงเกิลคอมมานด์ หรือการบริหารจากผู้นำ (CEO.) สั่งการต่อจากบนลงล่าง ทำให้การมีส่วนร่วม จากภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ลดบทบาทลง เพราะต้องรอการบัญชาการสั่งการก่อนจะทำงานได้ และไม่มีการทำความเข้าใจร่วมกันล่วงหน้า ทำให้การปฏิบัติงานช้า และไม่ต่อเนื่อง"นายสมเกียรติ ระบุ

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม่แจ่ม ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้นำชุมชน กำนันผู้ใหญ่บ้าน อปท. ที่ผ่านการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่มาโดยตลอด เชื่อว่ายังสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไม่ให้ลุกลามไปจนเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งอย่างเดียว เชื่อว่าจะยังสามารถควบคุมไฟป่าหมอกควันไม่ให้วิกฤติได้หลังจากนี้ ซึ่งทั้งนี้ ผู้มีบทบาทอำนาจ ก็ควรจะต้องให้ผู้ที่เชี่ยวชาญในพื้นที่และรู้ปัญหาที่แท้จริงได้มีโอกาสชี้แนะด้วย

ด้าน นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ นายอำเภอแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่อ.แม่แจ่ม กลับมาเป็นปกติแล้ว ยอมรับว่า 2 วันก่อน ตัวเลขค่าหมอกควันในอากาศทะลุมาตรฐาน ทำให้เกิดความกังวลไปทั่ว แต่หลังจากนั้น ค่าฝุ่นละอองก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงเช้าวันนี้ วัดค่า PM10 ได้เพียง 85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลับเป็นปกติแล้ว จุดฮอตสปอตก็กลับเป็น 0 ได้ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งตนเชื่อว่าที่ผ่านมาได้รับผลมาการการชิงเผาในพื้นที่เหนือลม รวมทั้งผลกระทบควันจากพื้นที่อื่น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ลอยมากระจุกตัวที่บริเวณเหนือพื้นที่ ทำให้ค่าฝุ่นละอองทะลุค่ามาตรฐานดังกล่าว

"ผมยืนยันว่า ได้ปฏิบัติการตามแผนการจังหวัดอย่างชัดเจน และเป็นระบบ โดยมั่นใจว่าหลังจากนี้ไปตลอดทั้งช่วงมาตรการ 51 วันห้ามเผา จะสามารถควบคุมจุดฮอตสปอต และค่ามลพิษในอากาศได้เป็นปกติ ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก โดยขณะนี้ผู้ที่เหนื่อยที่สุดต้องยกความดีความชอบให้ บรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. และอาสาสมัครชาวบ้านในพื้นที่ ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน คอยเฝ้าระวังไฟป่าตลอดเวลา และบุกเข้าป่าเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที่ อยู่เสมอ แต่ไม่มีโอกาสจะได้นำเสนอต่อสื่อว่าทำงานกันหนักขนาดไหน"นายบุญลือ กล่าว

นายบุญลือ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม หากจะมีการเผาเกิดขึ้นบ้าง หลังจากนี้ ก็คงจะเป็นเพราะชาวบ้านที่เข้าป่าล่าสัตว์ตามวิถี หรืออาจจะมีการกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ ดังนั้นในพื้นที่ป่ากว่า 1.7 ล้านไร่ของ อ.แม่แจ่มนั้น อาจจะหลุดเล็ดรอดสายตาเจ้าหน้าที่ไปได้บ้าง แต่หากรู้ว่าเกิดไฟป่าขึ้นแล้วก็จะต้องควบคุมให้ทันท่วงที แต่จะให้ไม่เกิดไฟเลยคงเป็นไปได้ยาก ที่ดีที่สุดคือควรจะควบคุมและแก้ไขปัญหาไม่ให้เสียหายมากที่สุด ซึ่งตนและทีมงานทั้งหมดก็จะปฏิบัติการอย่างเต็มที่สุดความสามารถ