ปิดฉากชีวิตมือปราบ 'สล้าง บุนนาค'
ปิดฉากชีวิตมือปราบ "สล้าง บุนนาค" เหรียญตราและบาดแผล
เส้นทางชีวิตนายตำรวจใหญ่ เกิดในตระกูลเก่าแก่ แต่เติบโตด้วยเครือข่ายฝ่ายภรรยาที่เป็นทายาทนักการเมืองดัง มีทั้งบาดแผลและเหรียญตรา จากสมรภูมิรบและการเมือง
พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เกิดที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี เป็นบุตรของหลวงพินิตพาหนะเวทย์ (พิง) มารดาชื่อ ทองอยู่ (สกุลเดิม ลิมปิทีป) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 14 รับราชการครั้งแรก เป็นผู้บังคับหมวด ตชด.513 อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
ร่วมสงครามลับในลาว
เป็น ต.ช.ด.ไม่นาน พล.ต.อ.สล้าง ถูกส่งไปเป็นครูฝึกทหารพลร่มลาวฝ่ายขวา และกลางปี 2503 ได้รับหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ไปปฏิบัติการลับข้ามโขง นำตัวนายพลพูมี หน่อสะหวัน จากแขวงสะหวันนะเขต มาอยู่ในเซฟเฮาส์ฝั่งไทย เนื่องจากเวลา ร.อ.กองแล ทหารลาวฝ่ายเป็นกลาง ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลลาวฝ่ายขวา
ปฏิบัติการครั้งนั้นสำเร็จโดยราบรื่น ผู้บังคับบัญชาจึงแต่งตั้งให้ไปเป็นผู้กำกับโรงพักหาดใหญ่ นานถึง 11 ปี ช่วงที่อยู่ปักษ์ใต้ พล.ต.อ.สล้าง สร้างผลงานไว้มากมายตามสไตล์ “ตำรวจขาโหด”
เขยขวัญนักการเมือง
อีกด้านหนึ่งของ พล.ต.อ.สล้าง ที่คนไม่ค่อยทราบมากนัก คือ เขาได้สมรสกับลูกสาวของ “บุญธรรม ชุมดวง” อดีต ส.ส.สุโขทัย และเจ้าของสัมปทานป่าไม้ภาคเหนือ
ว่ากันว่า ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา มีรัฐบาลคึกฤทธิ์ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย “บุญธรรม” พ่อตาของ พล.ต.อ.สล้าง เป็นเลขานุการฯ จึงส่งผลให้นายตำรวจบ้านนอกได้ขยับเข้าเมืองหลวง ประจำการที่กองปราบปราม
แม้บุญธรรมจะวางมือทางการเมือง แต่ก็ส่งมอบมรดกผู้แทนให้ลูกชาย-อารยะ ชุมดวง เป็น ส.ส.สุโขทัย อีกหลายสมัย และทุกจังหวะก้าวของฝ่ายพ่อตา ก็มีผลต่อการเติบใหญ่ในยุทธจักรโล่เงิน ของ พล.ต.อ.สล้าง
ระหว่างรับราชการในกรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน) ตำแหน่งที่สำคัญได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธร 12 ผู้บัญชาการศึกษา ผู้ช่วยอธิบดีตำรวจ และรองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ตามลำดับ
บาดแผล 6 ตุลา
พล.ต.อ.สล้าง มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ขณะนั้นมียศ “พ.ต.ท.” เป็นรองผู้กำกับการ 2 รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.สุวิทย์ โสตถิทัต ผู้บังคับการกองปราบปราม ของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ให้นำกำลังตำรวจปราบจลาจล 200 นายไปรักษาความสงบที่บริเวณท้องสนามหลวง และหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่มาของการ ใช้อาวุธหนักโจมตีเข้าไปใน ม.ธรรมศาสตร์ จึงมีนักศึกษา ประชาชน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก
บ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.สล้าง ยังไปที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งมีกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ได้บุกไปค้นหาตัว ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดย พล.ต.อ.สล้าง ได้เข้าไปด่าว่า ดร.ป๋วย ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ และตบหู หลายปีภายหลัง พล.ต.อ.สล้าง ได้พยายามอธิบายว่า ได้รับวิทยุสั่งการโดยตรงจาก พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ ผู้บังคับการกองปราบฯ ให้รีบเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อป้องกันช่วยเหลือ ดร.ป๋วย ให้รอดพ้นจากการทำร้ายจากกลุ่มประชาชน
บาดแผล “โจ ด่านช้าง”
เมื่อปี 2539 “โจ ด่านช้าง” และพวก จับญาติพ่อค้าอาวุธปืนเป็นตัวประกันที่บ้านหลังหนึ่ง เพื่อหวังแก้แค้นที่ตีตัวออกห่าง พล.ต.อ.สล้าง รองอธิบดีกรมตำรวจ (ขณะนั้น) พร้อมด้วยตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ สั่งการจับกุมคนร้ายด้วยตัวเอง ซึ่งพบว่าท้ายที่สุด มีการวิสามัญคนร้ายรวม 6 ศพ ทั้งที่สามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่มีการนำตัวกลับไปในบ้านเกิดเหตุและเกิดเสียงปืนดังขึ้นหลายสิบนัดท่ามกลางชาวบ้าน ผู้สื่อข่าวที่ติดตามคดี
ผลแห่งคดีโจ ด่านช้าง ทำให้ พล.ต.อ.สล้าง ถูกรัฐมนตรีมหาดไทย(สมัยนั้น) สั่งพักราชการ เพราะมีการกระทำอันเกินกว่าเหตุ เมื่อ 3 ก.ค.2541 ก่อนหน้าที่จะเกษียณอายุราชการ 3 เดือน
บาดแผล “พันธมิตร”
ระหว่างการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปลายปี 2551 ที่มีการยึดทำเนียบ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว ขออาสา ยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจากกลุ่มพันธมิตรฯ
เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2551 พล.ต.อ.สล้าง นุ่งขาวห่มขาวจัดพิธีสวดมนต์ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยอ้างว่าเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่ทางกลุ่มพันธมิตรฯไม่เชื่อ และโจมตีว่า พล.ต.อ.สล้าง รับงานฝ่ายตรงข้ามมาจัดพิธีแก้เคล็ด
จริงๆแล้ว ช่วงปี 2535- 2539 สนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.อ.สล้าง ยังคบหาสมาคมกันดีอยู่ ด้วยความที่สนธิมองว่า พล.ต.อ.สล้าง เป็นนายตำรวจที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แต่ระยะหลัง ทั้งคู่ก็เหินห่างกันไป
บั้นปลายชีวิต พล.ต.อ.สล้าง ให้สัมภาษณ์ จอม เพชรประดับ ว่า อยากเห็นบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ สามัคคี ไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง
นี่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางชีวิตราชการ และการเมืองของนายตำรวจใหญ่ “สล้าง บุนนาค”