นักกฎหมายกระบวนการยุติธรรม วิเคราะห์ สนช.ไม่ผ่าน 7 เสือกกต. หากสะกัดจุดอ่อนจริงก่อนก็ดี กันโต้แย้งเมื่อมีคดี ก.ม.ตั้งมาตรฐานสูงคนผ่านเกณฑ์น้อย ลุ้นเลือกใหม่ปลดล็อค ?
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.61 "แหล่งข่าวนักกฎหมายระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม" ได้วิเคราะห์ถึงประเด็น ที่ สนช.มีมติไม่ผ่านความเห็นชอบผู้ได้รับคัดเลือก ว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 คน โดยมีการอ้างเหตุจากการลงมติลับในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่า ในการประชุม สนช.เป็นการประชุมลับ จึงยังไม่แน่ใจในข้อเท็จจริง ว่า ที่ สนช.ไม่ลงคะแนนผ่านคัดเลือก กกต.ทั้ง 7 คน มาจากสาเหตุประเด็นการลงคะแนนลับของศาลฎีกาใช่หรือไม่ แต่ตนเห็นว่าหากเป็นในประเด็นนี้จริง ทาง สนช. ก็อาจจะตัดสินใจถูกและเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะหากผ่านความเห็นชอบว่าที่ กกต.ทั้ง7คน ไป ก็จะมีจุดอ่อนมากมาย เนื่องจาก กกต.ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถ้า กกต.ทั้ง7คนมีการชูใบแดงหรือใบเหลืองให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต่อไปเมื่อมีคดีความก็อาจมีการโต้แย้งมาจากผู้สมัครเลือกตั้งมาที่แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา และสุดท้ายศาลเองก็จะต้องออกมาวินิจฉัยเรื่องที่มาการเข้าดำรงตำแหน่งของ กกต.อีกว่า ชอบหรือไม่ชอบ
เช่นตัวอย่างคดีอาญานักการเมือง พิจารณาคดีจนใกล้จะตัดสิน แต่ต่อมาฝ่ายจำเลยโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของ ป.ป.ช. ซึ่งก็มีให้เห็นหลายกรณี โดยเชื่อว่าจำเลยส่วนมากก็พร้อมจะสู้หมดจึงอาจมีปัญหาตามมา แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า เชื่อว่าหาก กกต. ชุดที่ถูกตีตกดังกล่าว ได้ผ่านเข้ามาทำหน้าที่ก็จะต้องถูกผู้สมัครร้องในประเด็นนี้อย่างแน่นอน จึงเชื่อว่าคนส่วนมาก เห็นว่า สนช.แก้ปัญหาได้ดี โดยการไม่ผ่านความเห็นชอบทั้ง 7คน และใช้การคัดสรรเข้ามาใหม่ ซึ่งการสรรหา กกต. ชุดใหม่ก็จะต้องกระทำภายใน 90 วัน ตามกฎหมาย เมื่อถามว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะต้องเปลี่ยนวิธีลงคะแนนลับจากเดิมหรือไม่หลังจากถูกพาดพิงว่ามีปัญหา แหล่งข่าว กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ที่ว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าจะมีการพูดคุยตกลงกันอย่างไร แต่ผู้พิพากษาส่วนใหญ่เชื่อว่าคงจะต้องเปลี่ยนการลงคะแนนซึ่งประเด็นดังกล่าวจะต้องมีการนำไปถกเถียงในที่ประชุมศาลฎีกาอย่างแน่นอน ซึ่งตนก็เชื่อว่าที่ประชุมใหญ่ในศาลฎีกาก็คงจะเปลี่ยนวิธีการสรรหาใหม่อย่างแน่นอนคงไม่ใช้วิธีการเดิม เพราะถ้าใช้วิธีการเดิมก็จะต้องมีปัญหาขึ้นมาอีก ในความเห็นส่วนตัวของตนที่มีการโต้แย้งเรื่องนี้มาก็ถูกต้องแล้ว ที่ผ่านมามันคงมีอุบัติเหตุที่ทำให้ต้องใช้วิธีการลงคะแนนแบบที่มีปัญหาไป แต่เชื่อว่าต่อไปก็คงไม่มีปัญหา เรื่องนี้อีก
เมื่อถามว่า หากอ้างว่าในสัดส่วนของสายศาลมีปัญหา ทำไมอีก 5 คน สนช.ถึงไม่ผ่าน แหล่งข่าว กล่าวว่า ตนคิดว่าในที่ประชุม สนช.ซึ่งเป็นการประชุมลับ คงมีการพูดคุยว่าจะโหวตไม่ผ่านเเค่บางคนหรือโหวตไม่ผ่านทั้งหมด ซึ่งเมื่อผลออกมาอย่างนี้ก็เชื่อว่า สนช.คงตกลงกันได้ ซึ่งถือเป็นสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งการไม่ผ่านทั้งหมด ถ้ามองในแง่ดีก็จะเป็นการกำจัดจุดอ่อน และเปิดให้บุคคลที่จะเข้ารับการสรรหาชุดใหม่ว่าจะต้องมีคุณสมบัติเพียงพอในด้านประสบการณ์แค่ไหน ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหาการเป็น กกต. สูงกว่า กกต. ชุดเดิม เเละเมื่อคุณสมบัติสูงมากขนาดนี้ บุคคลที่อยู่ในเงื่อนไขก็จะน้อยลง
เมื่อถามว่า มองว่าการลงมติของ สนช. ในครั้งนี้ที่อ้างเรื่องการลงคะแนนลับของว่าที่ กกต. 2 คนสายศาลเป็นการหักหน้า ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาหรือไม่ เนื่องจากประธานศาลฎีกาเป็นทั้งประธานในที่ประชุมศาลฎีกาและประธานคณะกรรมการสรรหา กกต. ทั้งหมด แหล่งข่าว กล่าวว่า การลงคะแนนลับดังกล่าว ที่ประชุมศาลฎีกาก็ยืนยันแล้วว่าเป็นการลงคะแนนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อยืนยันไปแล้วก็เป็นหน้าที่ของสภาที่จะจัดการ ที่มีการกล่าวอ้างว่า สนช. ไม่ผ่านเพราะเรื่องการลงคะแนนลับมีปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ไม่เป็นทางการ เป็นการพูดไปเอง จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ จึงไม่น่ามีปัญหา แม้ว่าประธานศาลฎีกาจะเป็นประธานของทั้งสองคณะทำงานก็ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอน ถ้าสนช.ไม่ผ่านก็คัดเลือกใหม่เท่านั้นเอง ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีที่ศาลฎีกาส่งไปแล้วสภาไม่เอา โดยการที่ไม่เอาทั้ง 7 คนครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก แต่การที่ สนช. มีมติออกมาลักษณะนี้เชื่อว่าเป็นการปลดล็อคกันข้อโต้แย้งข้อครหาที่อาจจะมาไม่จบสิ้น ก็มองว่าเป็นการเเก้ปัญหาที่ดี
เมื่อถามต่อว่า คาดว่าในกลุ่มผู้พิพากษาเมื่อทราบมติ สนช. จะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง แหล่งข่าว กล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้พิพากษามองว่าตรงนี้เป็นหน้าที่ใครหน้าที่มัน เพียงแต่ต้องกลับมาคัดเลือกใหม่ เริ่มต้นใหม่ และก็ต้องทำให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ตรงนี้ต่อไปการลงคะเเนนคงต้องมีการถกเถียงถึงวิธีการสรรหา วิธีการคัดเลือกลงคะแนนเสียง ทำให้สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม เเละเปิดเผยชัดเจนไม่ให้มีข้อครหา