แมกโนเลียโชว์โปรเจค“วิสซ์ดอม101”ยอดขายพุ่ง

แมกโนเลียโชว์โปรเจค“วิสซ์ดอม101”ยอดขายพุ่ง

แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน เน้นรูปแบบ “มิกซ์ยูส” ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ผสมผสานที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน และพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้ชีวิตในชุมชน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร

วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่าแมกโนเลีย มุ่งพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบมิกซ์ยูสเป็นหลัก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตในยุคนี้ รวมทั้งชุมชนโดยรอบ 

การพัฒนาโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ทำเลสุขุมวิท 101  ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรเจคมิกซ์ยูส พื้นที่กว่า 3.5 แสนตร.ม. มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท บนที่ดิน 43 ไร่ ส่วนที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค”  มียอดขาย 90%  เริ่มโอนเดือน มี.ค.นี้ และ“วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์” ราว 80%  และเดือน มี.ค.นี้เตรียมเปิดขายคอนโด อาคารที่ 3 “วิสซ์ดอม อินสปาย” 

ส่วนพื้นที่เชิงพาณิชย์กว่า 200 ร้าน ในโซน “อินโนเวทีฟ ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์” พื้นที่ 5 หมื่นตร.ม. มีพื้นที่ขาย  2 หมื่นตร.ม. ยอดจองกว่า 80% โดยมีทั้งร้านอาหารชื่อดัง ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าไลฟ์สไตล์เพื่อรองรับการใช้ชีวิตผู้อาศัยในทุกกลุ่ม จะเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปีนี้ 

ด้านพื้นที่สำนักงานขนาด 4 หมื่นตร.ม. ได้ร่วมกับ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” พัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อินโนเวชั่น ฮับ” เน้นสร้าง Startup Ecosystem ครบวงจร ด้วยแนวคิด Open Innovation จากการรวมตัวกันของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ นักลงทุน

สุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่าโครงการที่พักอาศัยพื้นที่ 17 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย คอนโด ไฮไรส์ 3 อาคาร  โดย 2 อาคารแรก

วิสซ์ดอม คอนเนค มูลค่า 3,000 ล้านบาท และวิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ มูลค่า 4,000 ล้านบาท  ทั้ง 2 โครงการสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนด  โดยจะเริ่มทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาสแรกกว่า 100 ห้อง

พร้อมกันนี้ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ “วิสซ์ดอม อินสปาย”  คอนโด ไฮไรส์ 45 ชั้น จำนวน 500 ยูนิต มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 1.4 แสนบาทต่อตร.ม. สูงกว่าช่วงเปิดตัว วิสซ์ดอม คอนเนค 2 ปีก่อนที่ราคาเฉลี่ย 1.2 แสนบาทต่อตร.ม.

สำหรับวิสซ์ดอม อินสปาย  ขนาด 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคา 4 ล้านบาทต่อยูนิต และ 2 ห้องนอน พื้นที่ 50 ตร.ม. ราคา 7-8 ล้านบาทต่อยูนิต โครงการนี้เน้นขนาด 2 ห้องนอนสัดส่วน 50%  นอกจากนี้ยังมีเพนท์เฮาส์ ราคา 15 ล้านบาท  

คอนโดทั้ง 3 อาคารเน้นกลุ่มเป้าหมายต่างกัน โดยอาคารแรก วิสซ์ดอม คอนเนค ห้องขนาด 27 ตร.ม. เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่  ส่วนวิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ ห้องขนาดใหญ่สำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และวิสซ์ดอม อินสปาย เจาะกลุ่มนิวเจนและครอบครัว

โดยคอนโดทั้ง 2 อาคารแรกมีชาวต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สนใจซื้อสัดส่วน 30%  เช่น วิสซ์ดอม คอนเนค มีเอเยนต์สิงค์โปร์เหมา 125 ห้อง ไปขายให้กับนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและปล่อยเช่า  ส่วนโครงการวิสซ์ดอม อินสปาย ที่จะเปิดขายอาคารสุดท้ายในเดือน มี.ค.นี้

ขณะนี้มีนักลงทุนและเอเยนต์ จากสิงคโปร์และฮ่องกง กำลังเจรจาซื้อเหมาจำนวน 100-200 ห้อง เพื่อนำไปขายต่อให้กับผู้ซื้อต่างชาติ สำหรับคอนโด ทั้ง 3 อาคาร  รวมมีจำนวน 1,800 ยูนิต มูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท คาดปีนี้มียอดโอน 5,000 ล้านบาท 

 

ชูพื้นที่ Third Place

“วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” เป็นหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูส แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ และเป็น Third Place ที่ทุกคนสามารถมาใช้ชีวิตได้ นอกจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม หรือ Creating Shared Value (CSV) และนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) 

อีกทั้งจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ ด้วยคอนเซปต์ “อินโนเวทีฟ ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์” เพื่อรองรับการใช้ชีวิตสำหรับทุกกลุ่ม 

หลังจากโครงการเปิดตัวในปีนี้ จะเป็นการเสริมศักยภาพ เพิ่มคุณค่าให้ชุมชนโดยรอบ ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มให้ชุมชนมาใช้ประโยชน์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างประสบการณ์ให้กับทุกท่าน พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกๆ วัน

โครงการให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว โดยจัดพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ใน 3 ของพื้นที่โครงการ มีสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่  วิสซ์ดอม พาร์ค รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการออกกำลังกาย  เช่น สปอร์ตคลับ ลู่วิ่งและเลนจักรยานลอยฟ้า วิสซ์ดอม แทรค ความยาว 1.3 กิโลเมตรรอบโครงการ

พื้นที่ชอปปิงและร้านอาหารในบรรยากาศสบายๆ ที่ Hillside Town หรือสามารถพักผ่อนและทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง  โครงการได้นำเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดพลังงานมาใช้ เช่น พื้นที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากการก้าวเดินบนทางเชื่อมสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้า ปุณณวิถี ด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม