Daily Strategy (22 ก.พ.61)

Daily Strategy (22 ก.พ.61)

ปัจจัยความกังวลทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ ยังกดดัน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 1,785-1,815 จุด มองในทิศทางเชิงลบ หลังการประชุมเฟด ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดชัดขึ้น อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดรอบ 4 ปี ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 4 วันติดต่อกัน ต้องเฝ้าระวังว่าทิศทางค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ จะกลับสู่การแข็งค่าขึ้นจริงจังหรือชั่วคราว ปัจจัยในประเทศ หุ้นกลางหุ้นเล็กถูกเทขายหวั่นผลประกอบการต่ำกว่าคาด ซึ่งหลายหุ้นได้สร้างความผิดหวัง มีเพียงหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ของกลุ่ม PTT ที่ภาพรวมสดใสขึ้น ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันแข็งแกร่งในไตรมาส 4/60 บริษัทลูกกลุ่ม PTT เด่นที่ IRPC, PTTGC ผลประกอบการทำได้ดีตามแผนที่วางไว้ เราแนะนำซื้อ TTA, IRPC, และ SPALI

 

หุ้นเด่นวันนี้: TTA (ปิด 8.90 บาท, “ซื้อ”, AWS TP 13.00 บาท)

  • เราคาดว่าผลประกอบการของ TTA ในไตรมาส 4/60 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็น 220 ล้านบาท ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 8 ล้านบาท และเทียบไตรมาส 3/60 ที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 25.6 ล้านบาท โดยธุรกิจเดินเรือเทกองได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีค่าระวางเรือ Baltic Dry Index (BDI) ในไตรมาส 4/60 ที่สามารถทรงตัวในระดับสูง สำหรับธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะปรับตัวดีขึ้นจากงานในมือจำนวนมาก ธุรกิจปุ๋ยเคมีในเวียดนามยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีและเข้าสู่ช่วง High Season สำหรับปี 2561 ดัชนี BDI มีโอกาสฟื้นตัวโดดเด่นหลังตรุษจีน เนื่องจากผู้ผลิตเหล็กในภาคเหนือจีนจะเริ่มกลับมานำเข้าสินแร่และถ่านหินเพื่อรองรับการกลับมาผลิตตามปกติตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. 61หลังจากลดกำลังการผลิตเหลือ 50% ตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. 60 เพื่อลดมลพิษตามนโยบายรัฐบาลจีน ประกอบกับความต้องการใช้เรือเทกองโลกในปี 2561 มีแนวโน้มเติบโต 4.0-5.0% สูงกว่าจำนวนเรือเทกองที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.0%
  • Price Pattern ของ TTA แม้ว่าจะมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Weekly &Monthly Sell Signal แต่ Price Pattern ของ TTA เริ่มมีความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่แล้ว และหาก Price Pattern ของ TTA สามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 95 บาท ก็จะทำให้มีความแข็งแกร่งในระยะกลางเพิ่มขึ้นมาจากการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TTA มีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 11 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 13.40 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้จุด Stop Loss ระยะสั้นสำหรับ TTA อยู่ที่ 8.55 บาท(แนวต้าน: 8.95, 9.00, 9.05; แนวรับ: 8.85, 8.80, 8.75)

ปัจจัยในประเทศ:

  • ยอดส่งออกเดือน ม.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 62 เดือน ที่ 01 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.6% YoY หนุนโดยยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นในหลายๆ สินค้า เช่น รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ คอมพิวเตอร์ และยางพารา เป็นต้น ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 24.3% YoY อยู่ที่ 2.02 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดขาดดุลการค้าที่ 119.2 ล้านดอลลาร์ (บางกอกโพสต์)
  • ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน ม.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือนที่ 91 เพิ่มขึ้นจาก 1 ในเดือน ธ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน หนุนโดยการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น (บางกอกโพสต์)
  • สรุปตัวเลขยานยนต์รายเดือน ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ม.ค. อยู่ที่ 66,513 คัน เพิ่มขึ้น 2% YoY แต่ลดลง 36.2% MoM การปรับตัวขึ้น YoY หนุนโดยเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และการมีรถยนต์นั่งและรถกระบะรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ขณะที่การปรับตัวลง MoM เกิดจากปัจจัยการจัดงานมหกรรมยานยนต์ในเดือน ธ.ค. นอกจากนี้ ยอดส่งออกรถยนต์เดือน ม.ค. อยู่ที่ 82,067 คัน เพิ่มขึ้น 2.5% YoY ซึ่งเพิ่มขึ้นในเกือบทุกตลาด ยกเว้น ตลาดอเมริกาเหนือและตลาดเอเชีย โดยเฉพาะเวียดนาม (อินโฟเควสท์)
  • IRPC(7.75 บาท; ซื้อ; AWS TP50 บาท)เผย PTT เข้าซื้อหุ้น 9.54% จากธนาคารออมสิน 9.54% ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ PTT ใน IRPC เพิ่มขึ้นเป็น 48.05% จากเดิมถือ 38.51%(SET)ความเห็น: ประเด็นดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับปัจจัยพื้นฐานของ IRPC แต่คาดว่าจะส่งผลดีต่อ PTT โดย IRPC เตรียมจ่ายปันผลสูงถึง 0.29บาทต่อหุ้น XD 26 ก.พ.นี้ทำให้ PTT รับรู้ปันผลเพิ่มขึ้นอีก 218 ล้านบาท เป็น 2.28 พันล้านบาท
  • CBG(69.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 97.00 บาท)รายงานกำไรสุทธิ 1.25 พันล้านบาท ลดลง 16.37%YoY กำไรไตรมาส 4/60เหลือเพียง 209 ล้านบาท ลดลง 25.66% YoY ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ที่ 337 ล้านบาท และกำไรสุทธิทั้งปีต่ำกว่าเราคาดที่ 1,37 พันล้านบาท สาเหตุจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดในตลาดต่างประเทศสูง และรายได้ยังไม่เพิ่มขึ้นมากพอจะเพียงพอคุ้มค่าใช้จ่าย อีกทั้งยอดขายในจีนช่วงไตรมาส 4/60 กลับแผ่วลงจากไตรมาส 3/60 เนื่องจากเป็น Low Season อากาศหนาวเย็น
  • SC(3.88 บาท; ซื้อ; AWS TP 5.00 บาท)รายงานกำไรสุทธิ 1.26 พันล้านบาท ลดลง 36%YoY ต่ำกว่าเราคาดที่ 1.67 พันล้านบาท เนื่องจากรายยได้ลดลง ขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรม และตัดจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุน อีกทั้งโครงการบ้านแนวราบที่มีกำหนดการโอนในไตรมาส 4/60 โอนไม่ทันต้องเลื่อนไปไตรมาส 1/61
  • PSH (ปิด 70 บาท; HOLD; AWS TP 24.70 บาท)PSH ตั้งเป้าการเติบโตและการเปิดโครงการในส่วนของแนวราบทั้งหมด 62 โครงการ มูลค่ารวม 52,900 ล้านบาท เพื่อหวังเพิ่มยอด presales และรายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 13% และ 10% ตามลำดับ (Bangkok Post) ความเห็น: การเปิดโครงการของบริษัทในปีนี้ค่อนข้างจะ aggressive ประกอบกับการแข่งขันที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะโครงการในแนวราบจาก Developer หลายราย ซึ่งถือว่าน่ากังวลเพราะเราคาดว่า Demand ของบ้านนั้นยังน้อยกว่า Supply จำนวนมหาศาลที่จะออกมาในปีนี้

 

 ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ดาวโจนส์ปิดร่วง 97 จุด หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนม.ค.ของเฟดระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะดีดตัวขึ้นในปีนี้สู่ระดับเป้าหมาย 2.0% ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ รายงานการประชุมของเฟดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น และนับเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อคืนนี้
  • S. Government Bond:อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ระดับ 2.95% เมื่อคืนนี้ เพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
  • PMI สหรัฐฯ: HIS Markit ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 9 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากระดับ 53.8 ในเดือน ม.ค
  • ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ: DXYO แข็งค่าไต่ระดับขึ้น 4 วันทำการติดต่อกัน มาที่ 90.124 จุด

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ตลาดทองคำปิดบวกขึ้น 90 เซนต์ หรือ 07% ปิดที่ 1,332.1 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือน ม.ค
  • ราคาน้ำมันดิบ: WTI ลดลง 11 เซนต์ หรือ 2% ปิดที่ 61.68 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น 17 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 65.42 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบในวันนี้ (เลื่อนประกาศจากพุธเป็นพฤหัส เนื่องจากวันจันทร์เป็นวันหยุดทำการ) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเกือบ 1.3 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ
  • ดัชนีค่าระวางเรือ:BDI ปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,146 จุด เพิ่มขึ้น 29 จุด ส่งปัจจัยบวกต่อ PSL และ TTA