Daily Strategy (13 ก.พ.61)

Daily Strategy (13 ก.พ.61)

กลับสู่การแรลลี่อีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : ปัจจัยบวกวันนี้จากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกกลับขึ้นมาแรง ดัชนี VIX เริ่มคลายตัวมาที่ 25 จุด จากวานนี้อยู่ที่ 29 จุด ยังวางใจไม่ได้เต็มที่ แต่การที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีปัญหา แต่เกิดขึ้นจากการที่ตลาดเข้าสู่ระยะพักฐาน ขณะที่ปัจจัยลบอีกส่วนหนึ่งมาจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะร้อนแรงเร็วเกินไป ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม พื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีคาดว่าหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีความสามารถสูงได้ วันนี้เราเลือก STEC เป็น Pick of the day เป็นความเด่นเฉพาะตัวกิจการเนื่องจากได้รับ Backlog เข้ามามากตั้งแต่ต้นปี 2560 แม้ Outlook รวมงานภาครัฐที่เปิดให้ประมูลใหม่จะมีความล่าช้า แต่งานที่รับเข้ามาแล้ว คาดว่าเพียงพอต่อการสร้างรายได้ไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า ทำให้ STEC เข้าสู่การสร้างฐานรายได้และกำไรขึ้นใหม่ นอกจากนี้เราชอบกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ยังมองว่าราคาน้ำมันมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องในปีนี้ แนะนำซื้อ PTTGC, AJ ด้วย

 

หุ้นเด่นวันนี้: STEC (ปิด 23.80บาท, “ซื้อ”, AWS TP 28.50บาท)

∙ STEC เราปรับเปลี่ยนมุมมองจากลบสู่บวก แม้คาดว่ากำไรไตรมาส 4/60 อ่อนแอ คาดมีกำไรสุทธิเพียง 280 ล้านบาท ทำให้กำไรทั้งปี 2560 คาดไว้ 989 ล้านบาท จากยอดรายได้ ราว 17 พันบาท แต่หลังจาก STEC ได้เซ็นต์สัญญาก่อสร้างงาน (Backlog) มากถึง 65,000 ล้านบาทในปี 2560 บวกกับที่เพิ่งได้งานจาก GULF อีก 20,000 ล้านบาท ในเดือน ก.พ.61 รวมกับ Backlog ที่มีอยู่เดิม ทำให้มี Backlog รวมกันมากถึง 112,700 ล้านบาท เราคาดว่าปี 2561 จะรับรู้รายได้มากเป็น 31,000 ล้านบาท กำไรสุทธิเติบโตเป็น 1,467 ล้านบาท เป็นการสร้างฐานรายได้และกำไรขึ้น เราประเมินราคาเป้าหมายที่ 28.50 บาท อิงกับ EV/EBITDA 12 เท่าคาดงบออกราว 14 ก.พ.61 บริษัทจัด Analyst Meeting วันที่ 15 ก.พ.61

∙ Price Pattern ของ STEC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Sell Signal แต่ระยะกลางยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเกิด Weekly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ STEC ยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะเปลี่ยนจากแนวโน้มหลักกลับขึ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 26 บาท (Resistance: 23.90, 24.20, 24.60; Support: 23.60, 23.30, 22.90)

ปัจจัยในประเทศ:

  • แบงก์ชาติคาดสินเชื่อธนาคารพาณิชย์โดยรวมเติบโต 6-8% ในปี 2561 ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2560 ที่ 4% สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ธปท. มองว่าหนี้เสียได้แตะระดับสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 4/60 ที่ 2.91% และจะค่อยๆ ลดลงในปีนี้ (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เรามีมุมมองคล้ายกับ ธปท. ทั้งในด้านสินเชื่อและระดับหนี้เสีย โดยสำหรับธนาคารทั้ง 9 แห่งที่อยู่ภายใต้การศึกษาของ AWS เราคาดการณ์สินเชื่อโดยรวมในปีนี้จะเติบโต 7.6% เร่งตัวจากปีที่ผ่านมาที่ 4.8% และประมาณการ NPL ratio ปีนี้จะปรับตัวลงมาที่ 3.03% จากปี 2560 ที่ 3.15%
  • แบงก์ชาติห้ามสถาบันการเงินไม่ให้ทำธุรกรรมเงินสกุลดิจิทัล ได้แก่ การเข้าไปลงทุนหรือซื้อขายในสกุลเงินดิจิทัล, การให้บริการรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล, การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเป็นสื่อกลางให้ลูกค้าเข้าไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลระหว่างกัน, การให้ลูกค้าใช้บัตรเครดิตในการซื้อสกุลเงินดิจิทัล, และการสนับสนุนหรือให้คำปรึกษากับลูกค้าเกี่ยวกับการลงทุนหรือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล (บางกอกโพสต์/ไทยโพสต์)
  • การทบทวนดัชนี MSCI ประจำไตรมาส (มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561) สำหรับประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งดัชนี MSCI Global Standard Indexes (ADDED 0, DELETED 0) และ MSCI Small Cap Indexes (ADDED 0, DELETED 0) (MSCI)
  • GPSC (ปิด 85.75 บาท,“N.R”., IAA Consensus 92 บาท)ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 ออกมามีกำไรสุทธิ 721 ล้านบาท หรือ EPS 0.48 บาท (+72%YoY, -19%QoQ) ดีกว่าที่ Bloomberg consensus ประมาณการไว้ที่ 659 ล้านบาทหรือสูงกว่าคาด 4% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำที่ปรับตัวตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มากขึ้นรวมถึงการขยายกาลังการผลิตของโรงไฟฟ้าไออาร์พีซีคลีนพาวเวอร์ (IRPC-CP) (SET, Bloomberg)
  • AP (ราคาปิด 8.65 บาท,“ซื้อ”, ราคาเป้าหมาย 10.00 บาท) ในปีนี้บริษัทตั้งเป้า presales ของบริษัทไว้ที่ 33,500 ล้านบาท โดยมีเป้ารายได้อยู่ที่ 28,100 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 34 โครงการมูลค่ารวม 49,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการมูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการในแนวราบ 30 โครงการมูลค่า 30,000 ล้านบาท (Bangkok Post)ความเห็น: บริษัทตั้งเป้า presales ในปี 2561 ต่ำลงจากปีที่แล้วเนื่องจาก บริษัทสามารถทำยอด Presales สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 42,900 ล้านบาทสูงกว่าเป้าปี 2560 ที่ตั้งไว้ที่ 26,000 บาท

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยมีการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค
  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ: ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีททะยานขึ้นแข็งแกร่งติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นปัจจัยบ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ภาวะตลาดน้ำมัน: สัญญาน้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือเกือบ 2% ปิดที่ 59.29 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 62.59 ดอลลาร์/บาร์เรลหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เปิดเผยในรายงานประจำเดือนก.พ.ว่า อุปสงค์น้ำมันในปีนี้จะขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบในพื้นที่หลายแห่งของสหรัฐ มีแนวโน้มสูงขึ้น
  • ราคาทองคำ:ปิดพุ่งขึ้นโดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก และจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำร่วงลงในช่วงก่อนหน้านี้
  • ดัชนีค่าระวางเรือ BDI:ปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,123.00 จุด ลดลง 00 จุด