'บิ๊กป้อม' เยือนลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง

'บิ๊กป้อม' เยือนลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง

"บิ๊กป้อม" เยือนลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ คุมทะเบียนโทรศัพท์

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ นครเวียงจันทน์ ตามคำเชิญของรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน

พล.ท. คงชีพ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร และคณะได้เข้าเยี่ยมคาราวะ ฯพณฯ ทองลุน สีลุลิด นายกรัฐมนตรี.สปป.ลาว ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยหารือร่วมกันถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ที่มีพัฒนาการแน่นแฟ้นและเกื้อกูลกันมากขึ้น ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคม ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านการทหารโดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง ที่ต้องรับมือกับการเผชิญหน้า จากภัยยาเสพติด อาชญกรรมข้ามชาติ และการก่อการร้าย
หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าพบ ท่าน สอนไช สีพันดอน รองนายกรัฐมนตรี.สปป.ลาว ณ โรงแรมดอนจันทร์ โดยหารือร่วมกัน ถึงแนวทางสานต่อความร่วมมือแก้ปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ทั้งปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญกรรมข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือกระทำผิดมากขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ถึงความจำเป็นต้องจัดทำและพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ร่วมกัน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ ติดตามการกระทำผิดที่เป็นปัญหาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ

พล.อ.ประวิตร และประธาน. กสทช.ได้เป็นผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมกับ รองนายกรัฐมนตรี.สปป.ลาว และรมว.กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม กระทำพิธีส่งมอบระบบการลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้กับสปป.ลาว ซึ่งสามารถใช้เป็นระบบตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้บริการ ทั้งลายนิ้วมือและใบหน้า ให้ถูกต้องตรงกับบัตรประชาชน ในการแบ่งแยกและติดตามคนไม่ดีและปกป้องคนดีต่อไป

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเชื่อมั่นว่า ความริเริ่มระหว่าง สปป.ลาว และไทยโดยสำนักงาน กสทช.ในการผลักดันการลงทะเบียนผู้ใช้บริการของทั้งสองประเทศให้ทันสมัยและปลอดภัยครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญ ของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่จะตามมา. ซึ่งการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงในด้านอื่นๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศและประเทศสมาชิกอาเซียนในภาพรวม